ภาษาไทย/ไวยากรณ์/การใช้คำ/คำสนธิ

จาก วิกิตำรา

คำสนธิ คือ การเชื่อมคำเข้าด้วยกัน โดยนำคำบาลีและสันสกฤตตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไปมาเชื่อมต่อกันเป็นคำเดียวกัน เสียงสุดท้ายของคำหน้ารับเสียงหน้าของคำหลัง โดยมีการเปลี่ยนแปลงพยัญชนะ สระ และนิคหิตที่มาเชื่อม เพื่อการกลมกลืนเสียงให้เป็นธรรมชาติของการออกเสียง และทำให้คำเหล่านั้นมีเสียงสั้นเข้า เช่น

คำ รวมเป็น
คช + อินทร์ คชินทร์
อัคคี + โอภาส อัคโยภาส
มหา + อรรณพ มหรรณพ

คำสมาสที่มีการเปลี่ยนแปลงเสียงขณะเมื่อนำ ๒ คำมารวมเป็นคำเดียวกัน เรียกว่า คำสมาสที่มีการสนธิ

ลักษณะ[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

๑. เกิดจากคำมูลตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไป
๒. ต้องเป็นคำที่มาจากภาษาบาลีและสันสกฤตเท่านั้น
๓. มีการเชื่อมคำโดยเปลี่ยนแปลงสระ พยัญชนะ หรือนิคหิต ของคำเดิม
๔. มักเรียงคำหลักไว้่หลังคำขยาย ดังนั้นในการแปลความหมายจะแปลจากหลังไปหน้า

ชนิดของการสนธิ[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

การสนธิ แบ่งออกเป็น ๓ ชนิด ตามลักษณะการเปลี่ยนแปลงอักษร คือ สระสนธิ พยัญชนะสนธิ และนิคหิตสนธิ

สระสนธิ[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

สระสนธิ เป็นการนำคำที่ลงท้ายด้วยสระไปสนธิกับคำที่ขึ้นต้นด้วยสระ ซึ่งเมื่อสนธิแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปสระ เพื่อให้เสียงสระ ๒ เสียง ได้กลมกลืนเป็นเสียงเดียวกัน แบ่งออกเป็น ๓ วิธี ได้แก่

๑. อะ อา สนธิกับ อะ อา ได้เป็น อะ หรือ อา เช่น
คำพื้น รวมเป็น
กต + อัญชลี (อญฺชลี) กตัญชลี (กตญฺชลี)
คงคา + อาลัย คงคาลัย
เทศ + อภิบาล (อภิปาล) เทศาภิบาล
มหา- + อัศจรรย์ มหัศจรรย์
วิทยา (วิทฺยา) + อาลัย (อาลย) วิทยาลัย (วิทฺยาลย)
๒. อะ อา สนธิกับ อิ อี ได้เป็น อิ อี หรือ เอ เช่น
คำพื้น รวมเป็น
มหา- + อิทธิ (อิทฺธิ) มหิทธิ
อุตร + อีสาน อุตรีสาน
คช + อินทร์ คชินทร์, คเชนทร์


๓. อะ อา สนธิกับ อุ อู ได้เป็น อุ อู หรือ โอ เช่น
คำพื้น รวมเป็น
มัคค (มคฺค) + อุเทศ + -ก (-ณฺวุ) มัคคุเทศก์
ราช + อุปโภค ราชูปโภค
บุริส (ปุริส) + อุดม บุริโสดม
๔. อะ อา สนธิกับ เอ ไอ โอ เอา ได้เป็น เอ โอ ไอ หรือ เอา เช่น
คำพื้น รวมเป็น
มหา- + โอสถ มโหสถ
มหา- + โอฬาร มโหฬาร, มเหาฬาร
อนฺ- + เอก อเนก
๕. อิ อี สนธิกับ อิ อี ได้เป็น อิ อี หรือ เอ เช่น
คำพื้น รวมเป็น
มุนี + อินทร์ มุนินทร์
อริ + อินทร์ อรินทร์, อเรนทร์
๖. อิ อี สนธิกับสระอื่นที่ไม่ใช่ อิ อี ด้วยกัน ต้องแปลง อิ อี เป็น ก่อน แล้วจึงสนธิกับสระหลัง และถ้าคำหน้ามีพยัญชนะตัวตามซ้อนกัน ก็ให้ลบตัวหน้าทิ้งหนึ่งตัวด้วย เช่น
คำพื้น รวมเป็น
อัคคี (อคฺคิ) => อัคย-/อัคคย- (อคฺคฺยฺ-) + โอภาส อัคโยภาส (อคฺคฺโยภาส)
อัคคย (อคฺคฺยฺ-) + โอภาส อัคโยภาส (อคฺคฺโยภาส)
อธิ- => อัธย- (อธฺยฺ-) + อาศัย (อาศย) อัธยาศัย (อธฺยาศย)
๗. อุ อู สนธิกับ อุ อู ได้เป็น อุ อู หรือ โอ เช่น
คำพื้น รวมเป็น
คุรุ + อุปกรณ์ คุรุปกรณ์, คุรูปกรณ์, คุโรปกรณ์
๘. อุ อู สนธิกับสระอื่นที่ไม่ใช่ อุ อู ด้วยกัน ต้องแปลง อุ อู เป็น ก่อน แล้วจึงสนธิกับสระหลัง เช่น
คำพื้น รวมเป็น
ธนู => ธันว- (ธนฺวฺ-) + อาคม ธันวาคม (ธนฺวาคม)

พยัญชนะสนธิ[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

พยัญชนะสนธิ เป็นการเชื่อมคำระหว่างพยัญชนะกับพยัญชนะ โดยมีการเปลี่ยนแปลงพยัญชนะคำเดิมก่อนนำมาสนธิ ซึ่งเป็นวิธีการรวมคำในภาษาบาลีสันสกฤต ไทยรับมาใช้เพียงไม่กี่คำ เช่น

คำพื้น รวมเป็น
มนสฺ + ภาพ มโนภาพ
รหสฺ + ฐาน รโหฐาน
นิสฺ- + ภัย นิรภัย
นิสฺ- + ทุกข์ นิรทุกข์
ทุสฺ- + คติ ทุรฺคติ => ทุรคติ
มนสฺ + ธรรม มโนธรรม
เตชสฺ + ธาตุ เตโชธาตุ
ศิรสฺ + เวฐน์ (เวฐน) ศิโรเวฐน์, ศิโรเพฐน์
พฺรหฺมนฺ + ชาติ พรหมชาติ
ทุสฺ- + ลักษณ์ ทุรฺลักษณ์ => ทุรลักษณ์ => ทรลักษณ์

นิคหิตสนธิ[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

นิคหิตสนธิ เป็นการนำคำที่ลงท้ายด้วยนิคหิตไปสนธิกับคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ หรือสระก็ได้ มีหลักเกณฑ์ ดังนี้

๑. นิคหิต สนธิกับ สระ แปลงนิคหิตเป็น เช่น
คำพื้น รวมเป็น
สํ- (> สมฺ-) + อาทาน สมฺอาทาน => สมาทาน
สํ- (> สมฺ-) + โอสร สมฺโอสร => สโมสร
สํ- (> สมฺ-) + อิทธิ (บาลี: อิทฺธิ) สมฺอิทฺธิ => สมิทธิ (บาลี: สมิทฺธิ)
สํ- (> สมฺ-) + อาคม สมฺอาคม => สมาคม
สํ- (> สมฺ-) + อาจาร สมฺอาจาร => สมาจาร
สํ- (> สมฺ-) + อุทัย (บาลี: อุทย) สมฺอุทย => สมุทย => สมุทัย
สํ- (> สมฺ-) + อาส สมฺอาส => สมาส
๒. นิคหิต สนธิกับ พยัญชนะวรรค แปลงนิคหิตเป็นพยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคนั้น ๆ เช่น
คำพื้น รวมเป็น
สํ- (> สงฺ-) + กร สํกร => สงฺกร => สังกร
สํ- (> สญฺ-) + จร สํจร => สญฺจร => สัญจร
สํ- (> สณฺ-) + ฐาน สํฐาน => สณฺฐาน => สัณฐาน
สํ- (> สนฺ-) + ธาน สํธาน => สนฺธาน => สันธาน
สํ- (> สมฺ-) + ภาร สํภาร => สมฺภาร => สัมภาร, สมภาร
สํ- (> สงฺ-) + ขาร สํขาร => สงฺขาร => สังขาร
สํ- (> สญฺ-) + ชาติ สํชาติ => สญฺชาติ => สัญชาติ
สํ- (> สณฺ-) + ฐิติ สํฐิติ => สณฺฐิติ => สัณฐิติ
สํ- (> สนฺ-) + นิบาต (บาลี: นิปาต) สํนิปาต => สนฺนิปาต => สันนิปาต => สันนิบาต
สํ- (> สมฺ-) + พนฺธ (> พันธ์) สํพนฺธ => สมฺพนฺธ => สัมพันธ์
๓. นิคหิต สนธิกับ เศษวรรค (ย ร ล ว ศ ษ ส ห ฬ) แปลงนิคหิตเป็น (บาลี: งฺ) เช่น
คำพื้น รวมเป็น
สํ- (> สงฺ-) + โยค สํโยค => สงฺโยค/(สญฺโญค > สัญโญค) => สังโยค
สํ- (> สงฺ-) + วาส สํวาส => สงฺวาส => สังวาส
สํ- (> สงฺ-) + สนฺทน (> สันทน์) สํสนฺทน => สงฺสนฺทน => สังสันทน์
สํ- (> สงฺ-) + สาร สํสาร => สงฺสาร => สังสาร, สงสาร
สํ- (> สงฺ-) + วร สํวร => สงฺวร => สังวร
สํ- (> สงฺ-) + สรรค์ (สันสกฤต: สรฺค, บาลี: สคฺค) สํสรฺค (บาลี: สํสคฺค) => สงฺสรฺค (บาลี: สงฺสคฺค) => สังสรรค์
สํ- (> สงฺ-) + หรณ์ (บาลี: หรณ) สํหรณ => สงฺหรณ => สังหรณ์

ประโยชน์[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

๑. ได้รูปศัพท์ใหม่ที่เด่นด้วยความหมาย และได้รูปคำที่มีความสละสลวย
๒. เป็นประโยชน์ในการแต่งคำประพันธ์ประเภทฉันท์ และร่าย

ดูเพิ่ม[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]