ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ปรัชญาโบราณ"
ไม่มีคำอธิบายอย่างย่อ
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 8:
จึงได้คติแห่งยุคว่า “ทุกอย่างอยู่ที่กฎ” โลกตามทรรศนะนี้ได้ชื่อว่าเอกภพ (cosmos)
นักปรัชญาต่างมุ่งเร่งค้นหากฎของโลก กฎความจริง และกฎความสุข แบ่งได้เป็น 3 ยุค
* Pre-Socratic philosophy เป็นช่วงเร่งหากฎของโลก คือ ยุคปรัชญากรีกสมัยเริ่มต้น
* Classical Greek philosophy เป็นช่วงเร่งหากฎความจริง คือ ยุคปรัชญากรีกสมัยรุ่งเรือง (ก.ค.ศ.450-322)
* Hellenistic philosophy เป็นช่วงเร่งหากฎความสุข คือ ยุคปรัชญากรีกสมัยเสื่อม (ก.ค.ศ.322- ค.ศ.529)
บรรทัดที่ 26:
* Aristotle ตอบว่ามี อยู่ในโลกนี้ เพราะโลกแห่งมโนคติเป็นสิ่งสมมติ
'''Hellenistic philosophy''' เป็นช่วงเร่งหากฎความสุข คือ ยุคปรัชญากรีกสมัยเสื่อม
ยุคนี้นับตั้งแต่ Aristotle เสียชีวิต จนถึงจักรพรรดิ Justinian ประกาศรับรองศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำอาณาจักรโรมัน
เมื่อ Alexander the great สิ้นพระชนม์ (ครองราชย์ ก.ค.ศ.336-323) ทำให้อาณาจักร Macedon แตก แม่ทัพแต่ละส่วนได้แยกปกครองตนเอง แย่งชิงอำนาจระหว่างกัน นครรัฐในกรีกรบกันเอง นักการเมืองแบ่งฝักแบ่งฝ่าย มีการลอบสังหาร และติดสินบนอย่างรุนแรง
บรรทัดที่ 33:
เราอาจแบ่งการค้นหาความเป็นจริงตามแนวคิดทางอภิปรัชญาที่เกิดขึ้นตามแนวคิดกระบวนทรรศน์ที่ 2 ยุคโบราณ แบ่งแนวคิดออกเป็น 3 กลุ่ม คือ จิตนิยม สสารนิยม และทวินิยม
'''การค้นความเป็นจริงตามแนวคิดกลุ่มจิตนิยม''' มีดังนี้
* <big>อภิปรัชญาของเพลโทว์ (ก.ค.ศ.427 - 347)</big> ถือว่าความเป็นจริงที่แท้นั้นเป็นสิ่งสากล (Universal) มีอยู่จริง ๆ โดยวัตถุวิสัย แต่ตามองไม่เห็น จึงต้องใช้ปัญญาเข้าใจส่วนรวม และเนื่องจากผัสสะแปรปรวนไปตามอารมณ์ เพลโทว์จึงแนะให้แยก ความรู้กับประสบการณ์ออกจากกัน ปรากฏการณ์ได้มาทางผัสสะ ส่วนความรู้ได้มาทางปัญญา ความเป็นจริง (Reality) มีมาก่อนปัญญาและไม่ขึ้นกับปัญญา ขณะที่ปัญญาต้องขึ้นกับความเป็นจริงนี้ เพราะถ้าปัญญารู้ไม่ตรงกับความเป็นจริง ความรู้ของปัญญาก็เท็จ เมื่อไรปัญญารู้ตรงกับความเป็นจริง จึงกล่าวได้ว่าปัญญารู้ความจริง ไม่มีใครมีสิทธิเปลี่ยนความเป็นจริงได้ อยากรู้ความจริงก็ต้องหมั่นศึกษาค้นคว้าให้เข้าถึงความเป็นจริงเท่านั้น
* <big>อภิปรัชญาของโพลทายเนิส (Plotinus ค.ศ.205-270)</big> ถือว่าความเป็นจริงดั้งเดิมมีหนึ่งเดียวเรียกว่า องค์เอกะ (The one) องค์เอกะนี้มีแต่ความดี สมบูรณ์อย่างเหลือล้นแต่ด้านเดียว ไม่มีความเลวหรือความบกพร่องเจือปนอยู่เป็นการจำกัดขอบเขตเลย ความสมบูรณ์นี้จึงท่วมท้นล้นออกมานอกขอบเขตดั้งเดิม ส่วนที่ล้นออกมานี้ยิ่งออกห่างจากศูนย์กลางหรือขอบเขตความสมบูรณ์ดั้งเดิมมากเท่าไร ความสมบูรณ์ก็ยิ่งเจือจางมากขึ้นทุกที แต่แรกเริ่มมีเพียง องค์เอกะ แต่ผู้เดียว ความเป็นจริงแต่สิ่งเดียว มีความเป็นอยู่เองแต่นิรันดร พระปัญญาหรือพระวจนะมีความสมบูรณ์เหลือล้นจึงต้องล้นออกด้วยความจำเป็นต่อมาเกิดพระวิญญาณใหญ่ ซึ่งเป็นจิตหรือดวงวิญญาณของโลก เนื่องจากวิญญาณของโลกออกห่างจากความสมบูรณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ซึ่งเป็นความบกพร่องประการหนึ่ง บันดาลให้สะเก็ดวิญญาณโลกบางส่วนถลำเข้าคลุกเคล้ากับสสาร กลายเป็นคนขึ้นมาแต่ละคน คนเราแต่ละคนจึงมีส่วนของจิตสูงส่งซึ่งเนื่องจากพระเจ้า ส่วนร่างกายมาจากสสารซึ่งเป็นของเฉื่อยหนักไร้อุดมคติ ชีวิตจึงเป็นการต่อสู้ดิ้นรนระหว่างธาตุพระเจ้ากับธาตุวัตถุ
'''การค้นหาความเป็นจริง ตามแนวทางของกลุ่มสสารนิยม''' มีดังนี้
*
*
*
*
*
'''การค้นหาความเป็นจริง ตามแนวทางของกลุ่มทวินิยม''' จะนำแนวคิดของกลุ่มจิตนิยมและสสารนิยมมาคัดสรรเพื่อตอบปัญหาต่างๆ โดยเชื่อว่าสรรพสิ่งมีทั้งความเป็นจิตและสสาร
== อ้างอิง ==
|