ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ภาษาอังกฤษ/ไวยากรณ์/หน้าที่ของคำ/คำนาม"

จาก วิกิตำรา
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Horus (คุย | ส่วนร่วม)
Horus (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 88: บรรทัดที่ 88:
''นามผสม'' อาจแบ่งได้เป็นสองประเภท คือ
''นามผสม'' อาจแบ่งได้เป็นสองประเภท คือ
# คำที่ประสมเข้าเป็นคำเดียว เช่น courtyard (ลานหรือสนามของอาคาร), stepson (ลูกเลี้ยงที่เป็นชาย)
# คำที่ประสมเข้าเป็นคำเดียว เช่น courtyard (ลานหรือสนามของอาคาร), stepson (ลูกเลี้ยงที่เป็นชาย)
# กลุ่มคำที่ส่วนแรกเป็นคำหลัก แล้วนามต่อมาเป็นคำขยาย คำประเภทนี้เมื่อเป็นรูปพหูพจน์จะเติม ''-s'' ที่นามตัวหน้า
# กลุ่มคำที่ส่วนแรกเป็นคำหลัก แล้วนามต่อมาเป็นคำขยาย คำประเภทนี้เมื่อเป็นรูปพหูพจน์จะเติม ''-s'' ที่นามตัวหน้า เช่น court-martial—courts-martial, father-in-law—fathers-in-law


== คำหรือกลุ่มคำประเภทอื่นที่ใช้เป็นคำนาม ==
{| width=25%
|-
! เอกพจน์ !! พหูพจน์ !! ความหมาย
|-
| court-martial || courts-martial || ศาลทหาร
|-
| father-in-law || fathers-in-law || พ่อตา, พ่อสามี
|}

== คำหรือกลุ่มคำประเภทอื่นที่ใช้เป็นนาม ==
มีการนำคำหรือกลุ่มคำประเภทอื่นมาใช้เป็นนาม โดยมีที่มาจาก
มีการนำคำหรือกลุ่มคำประเภทอื่นมาใช้เป็นนาม โดยมีที่มาจาก
# คำหน้าที่อื่น เช่น
# คำหน้าที่อื่น เช่น
บรรทัดที่ 105: บรรทัดที่ 96:
# กลุ่มคำ เช่น
# กลุ่มคำ เช่น
#: ''Too swift'' arrives as tardy as ''too slow''.—Shakespeare. หมายถึง คนที่มาเร็ว, คนที่มาช้า
#: ''Too swift'' arrives as tardy as ''too slow''.—Shakespeare. หมายถึง คนที่มาเร็ว, คนที่มาช้า

== หน้าที่ของนาม ==
# นำนามมาติดกับนามอีกคำหนึ่งโดยจะมีความหมายเพิ่มความหมายหรือคำอธิบาย (ทำหน้าที่เสมือนคุณศัพท์) ตัวอย่างเช่น
{{Example|
* a family quarrel (การทะเลาะในครอบครัว)
* a New York bank (ธนาคารนิวยอร์ก)
* a morning walk" (การเดินยามเช้า)
}}


== เอกพจน์และพหูพจน์ ==
== เอกพจน์และพหูพจน์ ==
บรรทัดที่ 120: บรรทัดที่ 103:


การเปลี่ยนรูปนามเป็นพหูพจน์แบ่งได้เป็น 3 วิธี
การเปลี่ยนรูปนามเป็นพหูพจน์แบ่งได้เป็น 3 วิธี
# การเติม -s (หรือ -es)
# การเติม -s (หรือ -es) เป็นวิธีที่พบเป็นส่วนใหญ่
# การเติม -en พบได้ 3 คำ คือ oxen, children, brethren
# การเติม -en พบได้ 3 คำ คือ oxen, children, brethren
# การเปลี่ยนสระราก
# การเปลี่ยนสระราก

การเติม -es พบในกรณีต่อไปนี้
# เมื่อคำนั้นลงท้ายด้วยอักษรที่ไม่สามารถเติม -s แล้วออกเสียงได้ เช่น box, cross, ditch, glass, lens, quartz ฯลฯ
# คำลงท้ายด้วย -y ที่ตามหลังพยัญชนะ เปลี่ยนเป็นรูปพหูพจน์โดยเปลี่ยน y เป็น i เช่น ally—allies, fairy—fairies ฯลฯ
# บางคำที่ลงท้ายด้วย -f หรือ -fe เปลี่ยนเป็นรูปพหูจน์โดยเติม -ves เช่น calf—calves, knife—knives, shelf—shelves ฯลฯ

== หน้าที่ของคำนาม ==
# นำนามมาติดกับนามอีกคำหนึ่งโดยจะมีความหมายเพิ่มความหมายหรือคำอธิบาย (ทำหน้าที่เสมือนคุณศัพท์) ตัวอย่างเช่น
{{Example|
* a family quarrel (การทะเลาะในครอบครัว)
* a New York bank (ธนาคารนิวยอร์ก)
* a morning walk" (การเดินยามเช้า)
}}


{{BookCat}}
{{BookCat}}

รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:39, 6 มิถุนายน 2563

บทนี้ว่าด้วยคำนาม (Nouns) ในภาษาอังกฤษ ซึ่งหมายถึง คำที่เป็นชื่อของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ รวมทั้งสิ่งที่เป็นนามธรรม

คน Johny, Arabs
สัตว์ cat
สิ่งของ chair
สถานที่ nation
นามธรรม goodness

ชนิดคำนาม

  1. สามานยนาม (Common noun)
  2. วิสามานยนาม (Proper noun)
  3. สมุหนาม (Collective noun)
  4. วัตถุนาม (Material noun)
  5. อาการนาม (Abstract noun)
  6. นามผสม (Compound noun)

สามานยนาม

สามานยนาม หมายถึง นามที่เป็นชื่อทั่วไปของคน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ ไม่ได้ชี้เฉพาะเจาะจงลงไปว่าชื่ออะไร เช่น

The man works in the garden. ผู้ชายทำงานอยู่ในสวน
A "cat is on the table. แมวอยู่บนโต๊ะ

วิสามานยนาม

วิสามานยนาม หมายถึง นามที่เป็นชื่อเฉพาะของคน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ รวมทั้งราชาศัพท์ด้วย คำนามชนิดนี้ เวลาเขียนต้องเขียนขึ้นต้นด้วยตัวอักษรใหญ่ (Capital Letter) เสมอไม่ว่าจะวางตรงไหนของประโยคก็ตาม เช่น

Columbus discovered America by himself. โคลัมบัสค้นพบอเมริกาด้วยตัวของเขาเอง
Bangkok is the capital of Thailand. กรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย

วิสามานยนามบางคำใช้เสมือนสามานยนามได้ในกรณีต่อไปนี้

  1. จุดกำเนิดของวัตถุใช้เป็นชื่อของวัตถุนั้นเอง เช่น china (เครื่องลายคราม)
  2. เป็นชื่อของคนหรือสถานที่ที่มีลักษณะบางประการที่ใช้บรรยายคนหรือสถานที่อื่นที่มีคุณสมบัติเดียวกัน เช่น a Hercules (หมายถึง คนที่มีพละกำลังมาก)

สมุหนาม

สมุหนาม หมายถึง นามที่เป็นชื่อของหมู่คณะ ฝูง พวก กลุ่ม แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดที่สมุหนามไปประกอบกับสามานยนามโดยมี of มาคั่น เพื่อให้เน้นความเป็นหมู่คณะนั้นชัดยิ่งขึ้น ตามโครงสร้างดังนี้

โครงสร้าง Collective noun + of + Common noun
ตัวอย่าง A bunch of flowers ดอกไม้ช่อหนึ่ง
A cluster of stars ดาวกลุ่มหนึ่ง

(สังเกตว่า common noun ที่นำม่าใช้อยู่ในรูปพหูพจน์)

ส่วนอีกชนิดหนึ่งเป็น คำคำเดียวที่มีความหมายแสดงหมวดหมู่ กลุ่มก้อนในตัวมันเองอยู่แล้ว เช่น family ครอบครัว, army กองทัพบก, flock ฝูงสัตว์, jury คณะลูกขุน, cabinet คณะรัฐมนตรี เป็นต้น

วัตถุนาม

วัตถุนาม หมายถึง นามที่เป็นชื่อของวัตถุ หรือบางครั้งจะเรียกว่า Mass noun นามมวลสารก็ได้ เพราะนามจำพวกนี้อยู่เป็นกลุ่มก้อน แสดงความมากน้อยด้วยปริมาณ ไม่ใช่ด้วยจำนวน และนามชนิดนี้ไม่ใช้ Article นำหน้า

อาการนาม

อาการนาม หมายถึง นามที่เป็นชื่อของสภาวะ สถานะ คุณลักษณะ หรือการกระทำ โดยไม่มีความสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติ เช่น

Death comes to all men. ความตายย่อมมาสู่มนุษย์ทุกคน

แบ่งได้เป็นสองกลุ่ม คือ

  1. Attribute nouns แสดงคุณภาพหรือคุณลักษณะหรือคุณภาพ มาจากคำคุณศัพท์
  2. Verbal nouns แสดงสถานะ สภาพหรือการกระทำ มาจากคำกริยา

Verbal nouns แบ่งตามที่มาได้ 3 อย่าง

(1) เป็นคำกริยาที่ไม่เปลี่ยนรูป เพียงแต่เปลี่ยนหน้าที่ เช่น "a long run" "a bold move," "a brisk walk."
(2) เป็นการเปลี่ยนคำลงท้ายหรือเติมคำตามหลัง (suffix) เช่น motion จาก move, speech จาก speak, theft จาก thieve, action จาก act, service จาก serve
(3) เป็นกริยาลักษณะ gerund
Sleeping at midday is necessary for a baby. การนอนหลับกลางวันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเด็ก
John likes reading after dinner. จอห์นชอบอ่านหนังสือหลังทานอาหารค่ำ

นามผสม

นามผสม อาจแบ่งได้เป็นสองประเภท คือ

  1. คำที่ประสมเข้าเป็นคำเดียว เช่น courtyard (ลานหรือสนามของอาคาร), stepson (ลูกเลี้ยงที่เป็นชาย)
  2. กลุ่มคำที่ส่วนแรกเป็นคำหลัก แล้วนามต่อมาเป็นคำขยาย คำประเภทนี้เมื่อเป็นรูปพหูพจน์จะเติม -s ที่นามตัวหน้า เช่น court-martial—courts-martial, father-in-law—fathers-in-law

คำหรือกลุ่มคำประเภทอื่นที่ใช้เป็นคำนาม

มีการนำคำหรือกลุ่มคำประเภทอื่นมาใช้เป็นนาม โดยมีที่มาจาก

  1. คำหน้าที่อื่น เช่น
    The great, the wealthy, fear thy blow.—Burns. หมายถึง ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มั่งมี
  2. กลุ่มคำ เช่น
    Too swift arrives as tardy as too slow.—Shakespeare. หมายถึง คนที่มาเร็ว, คนที่มาช้า

เอกพจน์และพหูพจน์

ในภาษาอังกฤษรูปของนามอาจเปลี่ยนตามจำนวนได้ คือ มีทั้งนามรูปเอกพจน์ (singular) และพหูพจน์ (plural) เอกพจน์หมายถึงนามเดียว ส่วนพหูพจน์หมายถึงนามตั้งแต่สองขึ้นไป รูปพหุนามภาษาอังกฤษบ้างเติม s บ้าง เปลี่ยนรูปบ้าง หรือมีเลขบอกจำนวนมาประกอบบ้าง

คำนามที่จะเปลี่ยนจากเอกพจน์ไปเป็นพหูพจน์นั้น จะสามารถเปลี่ยนได้เฉพาะสามานยนาม และสมุหนามเท่านั้น ส่วนวิสามานยนาม และวัตถุนามนั้น ถึงแม้จะทำให้เป็นรูปพหูพจน์ได้ แต่ความหมายมันจะเปลี่ยนไปจากรูปเอกพจน์ (ไม่ได้มีความหมายคงเดิมเหมือนการเปลี่ยนสามานยนาม และสมุหนาม) เช่น Brown เป็นรูปเอกพจน์ เป็นชื่อเฉพาะของบุคคลคนหนึ่ง แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นรูปพหูพจน์เป็น Browns จะมีความหมายว่า ครอบครัวของบราวน์ หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง water แปลว่า น้ำ แต่ถ้าทำเป็นรูปพหูพจน์ waters จะแปลว่า ต้นน้ำลำธาร

การเปลี่ยนรูปนามเป็นพหูพจน์แบ่งได้เป็น 3 วิธี

  1. การเติม -s (หรือ -es) เป็นวิธีที่พบเป็นส่วนใหญ่
  2. การเติม -en พบได้ 3 คำ คือ oxen, children, brethren
  3. การเปลี่ยนสระราก

การเติม -es พบในกรณีต่อไปนี้

  1. เมื่อคำนั้นลงท้ายด้วยอักษรที่ไม่สามารถเติม -s แล้วออกเสียงได้ เช่น box, cross, ditch, glass, lens, quartz ฯลฯ
  2. คำลงท้ายด้วย -y ที่ตามหลังพยัญชนะ เปลี่ยนเป็นรูปพหูพจน์โดยเปลี่ยน y เป็น i เช่น ally—allies, fairy—fairies ฯลฯ
  3. บางคำที่ลงท้ายด้วย -f หรือ -fe เปลี่ยนเป็นรูปพหูจน์โดยเติม -ves เช่น calf—calves, knife—knives, shelf—shelves ฯลฯ

หน้าที่ของคำนาม

  1. นำนามมาติดกับนามอีกคำหนึ่งโดยจะมีความหมายเพิ่มความหมายหรือคำอธิบาย (ทำหน้าที่เสมือนคุณศัพท์) ตัวอย่างเช่น
  • a family quarrel (การทะเลาะในครอบครัว)
  • a New York bank (ธนาคารนิวยอร์ก)
  • a morning walk" (การเดินยามเช้า)