ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กลไกราคาในระบบเศรษฐกิจ"
สร้างหน้าด้วย "ตลาดในระบบเศรษฐกิจนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื..." |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 1: | บรรทัดที่ 1: | ||
ตลาดในระบบเศรษฐกิจนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก |
ตลาดในระบบเศรษฐกิจนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก |
||
เนื่องจากตลาดทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่าง |
เนื่องจากตลาดทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค |
||
ซึ่งจะช่วยทำให้สินค้าจากแหล่งผลิตไปสู่ผู้บริโภค และยังช่วยให้ผู้บริโภคมีสินค้าและบริการมาบำบัดความต้องการได้อย่างทั่วถึง |
|||
ผู้ผลิตกับผู้บริโภค |
|||
ซึ่งจะช่วยทำให้สินค้าจากแหล่งผลิตไปสู่ผู้บริโภค และยังช่วยให้ผู้บริโภคมีสินค้าและบริการ |
|||
มาบำบัดความต้องการได้อย่างทั่วถึง |
|||
ซึ่งในบทนี้ จะศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดในทางเศรษฐศาสตร์ |
ซึ่งในบทนี้ จะศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดในทางเศรษฐศาสตร์ |
||
=== ความหมายของตลาดในทางเศรษฐศาสตร์ === |
=== ความหมายของตลาดในทางเศรษฐศาสตร์ === |
||
ตลาด หมายถึง การซื้อขายสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่งหรือภาวะการณ์ในการซื้อขายสินค้านั้นๆ |
ตลาด หมายถึง การซื้อขายสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่งหรือภาวะการณ์ในการซื้อขายสินค้านั้นๆ |
||
ซึ่งก็ |
ซึ่งก็หมายถึงว่า |
||
การซื้อขายไม่จำเป็นต้องมีตลาดเป็นตัวตน ผู้ซื้อและผู้ขายไม่จำเป็นต้องมาพบกัน เพียงแต่ใช้เครื่องมือสื่อสารตกลงกัน |
|||
หมายถึงว่า |
|||
การซื้อขายไม่จำเป็นต้องมีตลาดเป็นตัวตน ผู้ซื้อและผู้ขายไม่จำเป็นต้องมาพบกัน เพียงแต่ใช้ |
|||
เครื่องมือสื่อสารตกลงกัน |
|||
=== หน้าที่ของการตลาด === |
=== หน้าที่ของการตลาด === |
||
การตลาด |
การตลาด |
||
ซึ่งรวมถึงการรับเสี่ยงภัยและการขนส่ง ย่อมมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิตในฐานะเป็นขั้น |
ซึ่งรวมถึงการรับเสี่ยงภัยและการขนส่ง ย่อมมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิตในฐานะเป็นขั้นหนึ่งของกระบวนการผลิต |
||
ทั้งนี้ก็เพราะ การผลิต ในทางเศรษฐศาสตร์นั้นถือว่าจะมีผลผลิต ก็ต่อเมื่อสินค้าได้ถึงมือผู้บริโภคแล้ว |
|||
หนึ่งของกระบวนการผลิต |
|||
ทั้งนี้ก็เพราะ การผลิต ในทางเศรษฐศาสตร์นั้นถือว่าจะมีผลผลิต ก็ต่อเมื่อสินค้าได้ |
|||
ถึงมือผู้บริโภคแล้ว |
|||
เท่านั้น จึงพอสรุปหน้าที่ได้ ดังนี้ |
เท่านั้น จึงพอสรุปหน้าที่ได้ ดังนี้ |
||
บรรทัดที่ 41: | บรรทัดที่ 29: | ||
==== ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ==== |
==== ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ==== |
||
มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากแต่สินค้าจะมีน้อย |
มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากแต่สินค้าจะมีน้อย |
||
โดยที่สินค้าจะมีลีกษณะเดียวกัน |
|||
โดยที่ |
|||
ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องรู้ถึงสภาวะของตลาด |
|||
โดยที่จะมีการขนส่งโดยสมบูรณ์ หน่วยธุรกิจสามารถเข้าออกจากธุรกิจโดยเสรี ข้าว |
|||
สินค้าจะมีลีกษณะเดียวกัน |
|||
ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องรู้ถึงสภาวะ |
|||
ของตลาด |
|||
โดยที่จะมีการขนส่งโดยสมบูรณ์ หน่วยธุรกิจ |
|||
สามารถเข้าออกจากธุรกิจโดยเสรี |
|||
ข้าว |
|||
ข้าวโพด |
ข้าวโพด |
||
==== ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด ==== |
==== ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด ==== |
||
มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมีอิสระ |
มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมีอิสระในการเลือกซื้อ |
||
แต่ชนิดสินค้าที่ผลิตจะต่างมาตรฐานและลักษณะที่แตกต่างกันออกไป |
|||
ผู้ขายสามารถกำหนดราคาได้ตามต้องการทั้งๆต้องแข่งขันกับคู่ค้ารายอื่น เสื้อผ้า |
|||
ในการเลือกซื้อ |
|||
รองเท้า สบู่ยาสระผม |
|||
แต่ชนิดสินค้าที่ผลิตจะต่างมาตรฐานและ |
|||
ยาสีฟัน แปรงสีฟัน |
|||
ลักษณะที่แตกต่างกันออกไป |
|||
ผู้ขายสามารถกำหนดราคาได้ |
|||
ตามต้องการทั้งๆต้องแข่งขันกับคู่ค้ารายอื่น |
|||
เสื้อผ้า |
|||
รองเท้า สบู่ |
|||
ยาสระผม |
|||
ยาสีฟัน |
|||
แปรงสีฟัน |
|||
=== ประเภทของตลาด ลักษณะของตลาด ตัวอย่างสินค้า === |
=== ประเภทของตลาด ลักษณะของตลาด ตัวอย่างสินค้า === |
||
ตลาดผู้ขายน้อยราย มีผู้ขายไม่กี่รายแต่จะมีสินค้าจำนวนมาก |
ตลาดผู้ขายน้อยราย มีผู้ขายไม่กี่รายแต่จะมีสินค้าจำนวนมาก |
||
เมื่อเทียบกับ |
เมื่อเทียบกับปริมาณทั้งหมดในตลาด |
||
หากผู้ขายรายใดเปลี่ยนแปลงราคาหรือนโยบายการขายแล้วจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรายอื่น |
|||
ปริมาณทั้งหมดในตลาด |
|||
หากผู้ขายรายใดเปลี่ยนแปลงราคา |
|||
หรือนโยบายการขายแล้วจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรายอื่น |
|||
น้ำมัน |
น้ำมัน |
||
หนังสือพิมพ์ |
หนังสือพิมพ์ น้ำอัดลม ตลาดแบบผูกขาด มีผู้ขายเพียงรายเดียว |
||
ทำให้ผู้ขายมีสิทธิเหนือราคาและปริมาณขายสินค้า |
|||
โดยจะเพิ่มหรือลดราคาและควบคุมจำนวนขายได้ทั้งหมดไฟฟ้า |
|||
น้ำอัดลม |
|||
ประปา รถไฟ โรงงาน ยาสูบ |
|||
ตลาดแบบผูกขาด มีผู้ขายเพียงรายเดียว |
|||
ทำให้ผู้ขายมีสิทธิเหนือราคา |
|||
และปริมาณขายสินค้า |
|||
โดยจะเพิ่มหรือลดราคาและควบคุม |
|||
จำนวนขายได้ทั้งหมด |
|||
ไฟฟ้า |
|||
ประปา รถไฟ โรงงาน |
|||
ยาสูบ |
|||
=== กลไกราคากับระบบเศรษฐกิจ === |
=== กลไกราคากับระบบเศรษฐกิจ === |
||
บรรทัดที่ 104: | บรรทัดที่ 56: | ||
==== 1. กลไกราคา ==== |
==== 1. กลไกราคา ==== |
||
กลไกราคา |
กลไกราคา |
||
หมายถึง ภาวการณ์เปลี่ยนแปลงในระดับราคาสินค้าและบริการอันเกิดจาก |
หมายถึง ภาวการณ์เปลี่ยนแปลงในระดับราคาสินค้าและบริการอันเกิดจากแรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทาน |
||
เมื่อผู้ผลิตพยายามปรับปรุงการผลิตและบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค |
|||
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าราคาสินค้าและบริการเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดอุปสงค์และอุปทาน |
|||
ตลอดจนเป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนราคาให้เข้าสู่จุดดุลยภาพ เช่น เมื่อราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น |
|||
เมื่อผู้ผลิตพยายามปรับปรุงการผลิตและบริการให้สอดคล้องกับความ |
|||
โดยทั่วไปแล้วความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ก็จะลดลง แต่อุปทานของสินค้าและบริการจะเพิ่มขึ้นกลไกราคาจะพบได้ในทุกตลาด |
|||
ยกเว้น ตลาดแบบผูกขาด เพราะกลไกราคาจะเกิดได้เฉพาะตลาดที่มีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในลักษณะของตลาดเสรีหรือประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือเสรีนิยม |
|||
ต้องการของผู้บริโภค |
|||
หรือระบบเศรษฐกิจแบบผสมเท่านั้น โดยระบบเศรษฐกิจเหล่านี้จะมีกลไกราคาเป็นตัวกำหนดว่าจะผลิตสินค้าปริมาณเท่าใดและราคาเท่าใด |
|||
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าราคาสินค้าและบริการเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดอุปสงค์และ |
|||
อุปทาน |
|||
ตลอดจนเป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนราคาให้เข้าสู่จุดดุลยภาพ เช่น เมื่อราคาสินค้าและบริการ |
|||
เพิ่มขึ้น |
|||
โดยทั่วไปแล้วความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ก็จะลดลง แต่อุปทานของสินค้าและบริการจะเพิ่มขึ้น |
|||
กลไกราคาจะพบได้ในทุกตลาด |
|||
ยกเว้น ตลาดแบบผูกขาด เพราะกลไกราคาจะเกิดได้เฉพาะ |
|||
ตลาดที่มีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในลักษณะของตลาดเสรีหรือประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุน |
|||
นิยมหรือเสรีนิยม |
|||
หรือระบบเศรษฐกิจแบบผสมเท่านั้น โดยระบบเศรษฐกิจเหล่านี้จะมีกลไกราคาเป็น |
|||
ตัวกำหนดว่าจะผลิตสินค้าปริมาณเท่าใดและราคาเท่าใด |
|||
==== 2. การกำหนดราคาสินค้าและบริการในทางเศรษฐกิจ กำหนดไว้ 2 วิธี คือ ==== |
==== 2. การกำหนดราคาสินค้าและบริการในทางเศรษฐกิจ กำหนดไว้ 2 วิธี คือ ==== |
||
1. ให้กลไกราคาเป็นเครื่องมือในการกำหนดราคาสินค้าและบริการ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตาม |
1. ให้กลไกราคาเป็นเครื่องมือในการกำหนดราคาสินค้าและบริการ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามแรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทาน |
||
2. รัฐบาลกำหนดราคาสินค้าและบริการด้วยการควบคุมและแทรกแซงราคาสินค้าและบริการด้วยวิธีกำหนดราคาเมื่อสินค้าที่จำเป็นขาดตลาด |
|||
แรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทาน |
|||
เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค การประกันราคาขั้นต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ผลิต |
|||
2. รัฐบาลกำหนดราคาสินค้าและบริการด้วยการควบคุมและแทรกแซงราคาสินค้าและ |
|||
บริการด้วยวิธีกำหนดราคาเมื่อสินค้าที่จำเป็นขาดตลาด |
|||
เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค การประกันราคาขั้นต่ำเพื่อ |
|||
ช่วยเหลือผู้ผลิต |
|||
การพยุงราคาสินค้าไม่ให้ตกต่ำมากเกินไป เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตหรือผู้ขายไม่ให้ขาดทุน |
การพยุงราคาสินค้าไม่ให้ตกต่ำมากเกินไป เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตหรือผู้ขายไม่ให้ขาดทุน |
||
==== 3. อุปสงค์ (Demand) ==== |
==== 3. อุปสงค์ (Demand) ==== |
||
อุปสงค์ หมายถึง ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งของผู้บริโภคที่ |
อุปสงค์ หมายถึง ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งของผู้บริโภคที่เต็มใจจะซื้อและซื้อหามาได้ |
||
ณ ระดับราคาต่างๆที่ตลาดกำหนดให้ กล่าวคือ เมื่อผู้บริโภคมีความต้องการที่จะซื้อสินค้าและบริการนั้นแล้ว |
|||
ก็จะสามารถมีกำลังซื้อสินค้านั้นได้ แต่ถ้าผู้บริโภคไม่สามารถที่จะซื้อหรือไม่มีกำลังซื้อ |
|||
เต็มใจจะซื้อและซื้อหามาได้ |
|||
ณ ระดับราคาต่างๆที่ตลาดกำหนดให้ กล่าวคือ เมื่อผู้บริโภคมีความต้องการที่จะ |
|||
ซื้อสินค้าและบริการนั้นแล้ว |
|||
ก็จะสามารถมีกำลังซื้อสินค้านั้นได้ แต่ถ้าผู้บริโภคไม่สามารถที่จะซื้อหรือไม่มีกำลัง |
|||
ซื้อ |
|||
ก็จะไม่ถือว่าเป็นอุปสงค์ตามความหมายในทางเศรษฐศาสตร์ |
ก็จะไม่ถือว่าเป็นอุปสงค์ตามความหมายในทางเศรษฐศาสตร์ |
||
3.1 กฎของอุปสงค์ (Law of Demand) หมายถึง ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสินค้าและ |
3.1 กฎของอุปสงค์ (Law of Demand) หมายถึง ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสินค้าและบริการในราคาต่ำ(ราคาถูก) ในปริมาณมากกว่าซื้อสินค้าในราคาสูง(ราคาแพง) |
||
บริการในราคาต่ำ(ราคาถูก) ในปริมาณมากกว่าซื้อสินค้าในราคาสูง(ราคาแพง) |
|||
3.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ |
|||
การที่ผู้บริโภคจะทำการซื้อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งในขณะใดขณะหนึ่งเป็นจำนวน |
|||
3.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์การที่ผู้บริโภคจะทำการซื้อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งในขณะใดขณะหนึ่งเป็นจำนวนเท่าใดนั้น |
|||
เท่าใดนั้น |
|||
ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้ |
ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้ |
||
บรรทัดที่ 185: | บรรทัดที่ 103: | ||
==== 4. อุปทาน (Supply) ==== |
==== 4. อุปทาน (Supply) ==== |
||
อุปทาน หมายถึง ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ขายหรือผู้ผลิตยินดีขายหรือผลิตให้แก่ผู้ซื้อ ณ ระดับราคาต่างๆตามที่ตลาดกำหนดให้ |
|||
อุปทาน |
|||
กล่าวคือ เมื่อราคาสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งเพิ่มสูงขึ้น ผู้ผลิตก็ยินดีที่จะเสนอขายมากขึ้น |
|||
หมายถึง ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ขายหรือผู้ผลิตยินดีขายหรือผลิตให้แก่ผู้ซื้อ ณ |
|||
ระดับราคาต่างๆตามที่ตลาดกำหนดให้ |
|||
กล่าวคือ เมื่อราคาสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งเพิ่มสูงขึ้น ผู้ผลิตก็ยินดีที่จะ |
|||
เสนอขายมากขึ้น |
|||
แต่ถ้าราคาสินค้าชนิดนั้นลดลงปริมาณของอุปทานก็จะลดลงตามไปด้วย |
แต่ถ้าราคาสินค้าชนิดนั้นลดลงปริมาณของอุปทานก็จะลดลงตามไปด้วย |
||
4.1 กฎของอุปทาน (Law of ''Supply'') |
4.1 กฎของอุปทาน (Law of ''Supply'') |
||
หมายถึง ผู้ผลิตมีความต้องการเสนอขายสินค้า |
หมายถึง ผู้ผลิตมีความต้องการเสนอขายสินค้าและบริการในราคาสินค้าและบริการที่สูง(ราคาแพง) ในปริมาณมากกว่าราคาสินค้าและบริการที่ต่ำ(ราคาถูก) |
||
4.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปทานการที่ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคหรือผู้ซื้อมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ |
|||
และบริการในราคาสินค้าและบริการที่สูง(ราคาแพง) ในปริมาณมากกว่าราคาสินค้าและบริการที่ต่ำ(ราคาถูก) |
|||
4.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปทาน |
|||
การที่ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคหรือผู้ซื้อมากน้อยเพียงใด |
|||
ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ |
|||
ดังนี้ |
ดังนี้ |
||
บรรทัดที่ 223: | บรรทัดที่ 129: | ||
==== 5. ดุลยภาพ (Equilibrium) ==== |
==== 5. ดุลยภาพ (Equilibrium) ==== |
||
กลไกราคาทำงานโดยได้รับอิทธิพลจากทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค |
กลไกราคาทำงานโดยได้รับอิทธิพลจากทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค |
||
ซึ่งเราจะสังเกตเห็นได้ว่า |
ซึ่งเราจะสังเกตเห็นได้ว่า ณเวลาใด |
||
เวลาหนึ่ง ถ้าปริมาณความต้องการหรือปริมาณอุปสงค์ต่อสินค้าในตลาดมีมากเกินกว่าปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตจะยินดีขายให้ |
|||
ราคาสินค้าก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากการขาดแคลนของสินค้า แต่ถ้าปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตประสงค์จะขายให้ผู้บริโภค |
|||
หรือปริมาณอุปทานของสินค้ามีมากกว่าปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคประสงค์จะซื้อ |
|||
ราคาสินค้านั้นก็จะมีแนวโน้มลดต่ำลง เมื่อปริมาณอุปสงค์และปริมาณอุปทานเท่ากันราคาสินค้าจึงจะอยู่นิ่ง |
|||
หรือที่เรียกว่า มีเสถียรภาพไม่ปรับขึ้นลงอีก ยกเว้นว่า จะมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้ตลาดต้องเปลี่ยนแปลงไป |
|||
สรุป การทำงานของกลไกราคาจะทำให้การจัดสรรทรัพยากรสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ |
|||
เวลาใด |
|||
เวลาหนึ่ง ถ้าปริมาณความต้องการหรือปริมาณอุปสงค์ต่อสินค้าในตลาดมีมากเกินกว่าปริมาณสินค้าที่ |
|||
ผู้ผลิตจะยินดีขายให้ |
|||
ราคาสินค้าก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากการขาดแคลนของสินค้า แต่ถ้า |
|||
ปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตประสงค์จะขายให้ผู้บริโภค |
|||
หรือปริมาณอุปทานของสินค้ามีมากกว่าปริมาณสินค้าที่ |
|||
ผู้บริโภคประสงค์จะซื้อ |
|||
ราคาสินค้านั้นก็จะมีแนวโน้มลดต่ำลง เมื่อปริมาณอุปสงค์และปริมาณอุปทานเท่ากัน |
|||
ราคาสินค้าจึงจะอยู่นิ่ง |
|||
หรือที่เรียกว่า มีเสถียรภาพไม่ปรับขึ้นลงอีก ยกเว้นว่า จะมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้ตลาดต้อง |
|||
เปลี่ยนแปลงไป |
|||
สรุป การทำงานของกลไกราคาจะทำให้การจัดสรรทรัพยากรสามารถดำเนินไปได้อย่างมี |
|||
ประสิทธิภาพ |
|||
โดยที่รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ตัดสินใจแทนผู้อื่น เพราะการแข่งขันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย |
โดยที่รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ตัดสินใจแทนผู้อื่น เพราะการแข่งขันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย |
||
จะทำให้สินค้ามีราคาที่สะท้อนความขาดแคลนของสินค้าหรือ |
|||
จะ |
|||
ทรัพยากรนั้นๆ ผู้ซื้อย่อมทราบดีถึงความต้องการที่แท้จริงของตน |
|||
เช่นเดียวกับผู้ผลิตก็ย่อมทราบดีกว่าผู้อื่นว่าต้นทุนการผลิตของตนเองเป็นอย่างไร และสมควรตอบสนองความต้องการสินค้าในท้องตลาดอย่างไร |
|||
ทำให้สินค้ามีราคาที่สะท้อนความขาดแคลนของสินค้าหรือ |
|||
ทรัพยากรนั้นๆ ผู้ซื้อย่อมทราบดีถึงความต้องการที่ |
|||
แท้จริงของตน |
|||
เช่นเดียวกับผู้ผลิตก็ย่อมทราบดีกว่าผู้อื่นว่าต้นทุนการผลิตของตนเองเป็นอย่างไร และสมควร |
|||
ตอบสนองความต้องการสินค้าในท้องตลาดอย่างไร |
|||
==== 6. อุปสงค์ส่วนเกินและอุปทานส่วนเกิน ==== |
==== 6. อุปสงค์ส่วนเกินและอุปทานส่วนเกิน ==== |
||
6.1 ภาวะอุปสงค์ส่วนเกินหรืออุปทานส่วนขาด คือ ถ้าสินค้าใดเป็นที่ต้องการมาก จะทำให้ |
6.1 ภาวะอุปสงค์ส่วนเกินหรืออุปทานส่วนขาด คือ ถ้าสินค้าใดเป็นที่ต้องการมาก จะทำให้ราคาสินค้าและบริการสูง |
||
ส่งผลให้สินค้าและบริการขาดตลาด อุปสงค์ส่วนเกินจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อราคาสินค้าต่ำกว่าจุดดุลยภาพ |
|||
ซึ่งหมายถึง ความต้องการซื้อมีมากกว่าปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตทำการผลิตออกมาขาย |
|||
ราคาสินค้าและบริการสูง |
|||
ส่งผลให้สินค้าและบริการขาดตลาด อุปสงค์ส่วนเกินจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อราคา |
|||
สินค้าต่ำกว่าจุดดุลยภาพ |
|||
ซึ่งหมายถึง ความต้องการซื้อมีมากกว่าปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตทำการผลิต |
|||
ออกมาขาย |
|||
6.2 ภาวะอุปทานส่วนเกินหรืออุปสงค์ส่วนขาด คือ ถ้าสินค้าใดเป็นที่ต้องการน้อยจะทำให้ |
|||
การบริโภคสินค้าและบริการต่ำ |
|||
ส่งผลให้สินค้าและบริการล้นตลาด อุปทานส่วนเกินจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อราคา |
|||
สินค้าอยู่เหนือจุดดุลยภาพ |
|||
ซึ่งหมายถึงความต้องการซื้อสินค้าและบริการมีน้อยกว่าปริมาณสินค้าและบริการที่ |
|||
6.2 ภาวะอุปทานส่วนเกินหรืออุปสงค์ส่วนขาด คือ ถ้าสินค้าใดเป็นที่ต้องการน้อยจะทำให้การบริโภคสินค้าและบริการต่ำ |
|||
ผู้ผลิตผลิตออกมาขาย |
|||
ส่งผลให้สินค้าและบริการล้นตลาด อุปทานส่วนเกินจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อราคาสินค้าอยู่เหนือจุดดุลยภาพ |
|||
ซึ่งหมายถึงความต้องการซื้อสินค้าและบริการมีน้อยกว่าปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตผลิตออกมาขาย |
|||
=== ปัญหาทางเศรษฐกิจ === |
=== ปัญหาทางเศรษฐกิจ === |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:50, 5 ธันวาคม 2558
ตลาดในระบบเศรษฐกิจนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากตลาดทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค ซึ่งจะช่วยทำให้สินค้าจากแหล่งผลิตไปสู่ผู้บริโภค และยังช่วยให้ผู้บริโภคมีสินค้าและบริการมาบำบัดความต้องการได้อย่างทั่วถึง ซึ่งในบทนี้ จะศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดในทางเศรษฐศาสตร์
ความหมายของตลาดในทางเศรษฐศาสตร์
ตลาด หมายถึง การซื้อขายสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่งหรือภาวะการณ์ในการซื้อขายสินค้านั้นๆ ซึ่งก็หมายถึงว่า การซื้อขายไม่จำเป็นต้องมีตลาดเป็นตัวตน ผู้ซื้อและผู้ขายไม่จำเป็นต้องมาพบกัน เพียงแต่ใช้เครื่องมือสื่อสารตกลงกัน
หน้าที่ของการตลาด
การตลาด ซึ่งรวมถึงการรับเสี่ยงภัยและการขนส่ง ย่อมมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิตในฐานะเป็นขั้นหนึ่งของกระบวนการผลิต ทั้งนี้ก็เพราะ การผลิต ในทางเศรษฐศาสตร์นั้นถือว่าจะมีผลผลิต ก็ต่อเมื่อสินค้าได้ถึงมือผู้บริโภคแล้ว เท่านั้น จึงพอสรุปหน้าที่ได้ ดังนี้
• แสวงหาอุปสงค์และคาดการณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับอุปสงค์
• เสริมสร้างให้เกิดอุปสงค์
• สนองความต้องการอุปสงค์
ประเภทและลักษณะของตลาด
ประเภทของตลาด ลักษณะของตลาด ตัวอย่างสินค้า
ตลาดแข่งขันสมบูรณ์
มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากแต่สินค้าจะมีน้อย โดยที่สินค้าจะมีลีกษณะเดียวกัน ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องรู้ถึงสภาวะของตลาด โดยที่จะมีการขนส่งโดยสมบูรณ์ หน่วยธุรกิจสามารถเข้าออกจากธุรกิจโดยเสรี ข้าว ข้าวโพด
ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด
มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมีอิสระในการเลือกซื้อ แต่ชนิดสินค้าที่ผลิตจะต่างมาตรฐานและลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ผู้ขายสามารถกำหนดราคาได้ตามต้องการทั้งๆต้องแข่งขันกับคู่ค้ารายอื่น เสื้อผ้า รองเท้า สบู่ยาสระผม ยาสีฟัน แปรงสีฟัน
ประเภทของตลาด ลักษณะของตลาด ตัวอย่างสินค้า
ตลาดผู้ขายน้อยราย มีผู้ขายไม่กี่รายแต่จะมีสินค้าจำนวนมาก เมื่อเทียบกับปริมาณทั้งหมดในตลาด หากผู้ขายรายใดเปลี่ยนแปลงราคาหรือนโยบายการขายแล้วจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรายอื่น
น้ำมัน หนังสือพิมพ์ น้ำอัดลม ตลาดแบบผูกขาด มีผู้ขายเพียงรายเดียว ทำให้ผู้ขายมีสิทธิเหนือราคาและปริมาณขายสินค้า โดยจะเพิ่มหรือลดราคาและควบคุมจำนวนขายได้ทั้งหมดไฟฟ้า ประปา รถไฟ โรงงาน ยาสูบ
กลไกราคากับระบบเศรษฐกิจ
1. กลไกราคา
กลไกราคา หมายถึง ภาวการณ์เปลี่ยนแปลงในระดับราคาสินค้าและบริการอันเกิดจากแรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทาน เมื่อผู้ผลิตพยายามปรับปรุงการผลิตและบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ดังนั้นจะเห็นได้ว่าราคาสินค้าและบริการเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดอุปสงค์และอุปทาน ตลอดจนเป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนราคาให้เข้าสู่จุดดุลยภาพ เช่น เมื่อราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปแล้วความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ก็จะลดลง แต่อุปทานของสินค้าและบริการจะเพิ่มขึ้นกลไกราคาจะพบได้ในทุกตลาด ยกเว้น ตลาดแบบผูกขาด เพราะกลไกราคาจะเกิดได้เฉพาะตลาดที่มีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในลักษณะของตลาดเสรีหรือประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือเสรีนิยม หรือระบบเศรษฐกิจแบบผสมเท่านั้น โดยระบบเศรษฐกิจเหล่านี้จะมีกลไกราคาเป็นตัวกำหนดว่าจะผลิตสินค้าปริมาณเท่าใดและราคาเท่าใด
2. การกำหนดราคาสินค้าและบริการในทางเศรษฐกิจ กำหนดไว้ 2 วิธี คือ
1. ให้กลไกราคาเป็นเครื่องมือในการกำหนดราคาสินค้าและบริการ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามแรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทาน
2. รัฐบาลกำหนดราคาสินค้าและบริการด้วยการควบคุมและแทรกแซงราคาสินค้าและบริการด้วยวิธีกำหนดราคาเมื่อสินค้าที่จำเป็นขาดตลาด เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค การประกันราคาขั้นต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ผลิต การพยุงราคาสินค้าไม่ให้ตกต่ำมากเกินไป เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตหรือผู้ขายไม่ให้ขาดทุน
3. อุปสงค์ (Demand)
อุปสงค์ หมายถึง ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งของผู้บริโภคที่เต็มใจจะซื้อและซื้อหามาได้ ณ ระดับราคาต่างๆที่ตลาดกำหนดให้ กล่าวคือ เมื่อผู้บริโภคมีความต้องการที่จะซื้อสินค้าและบริการนั้นแล้ว ก็จะสามารถมีกำลังซื้อสินค้านั้นได้ แต่ถ้าผู้บริโภคไม่สามารถที่จะซื้อหรือไม่มีกำลังซื้อ ก็จะไม่ถือว่าเป็นอุปสงค์ตามความหมายในทางเศรษฐศาสตร์
3.1 กฎของอุปสงค์ (Law of Demand) หมายถึง ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสินค้าและบริการในราคาต่ำ(ราคาถูก) ในปริมาณมากกว่าซื้อสินค้าในราคาสูง(ราคาแพง)
3.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์การที่ผู้บริโภคจะทำการซื้อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งในขณะใดขณะหนึ่งเป็นจำนวนเท่าใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. ราคาสินค้าและบริการ (ตามกฎของอุปสงค์)
2. รายได้ของผู้บริโภค
3. รสนิยมของผู้บริโภค
4. สมัยนิยม
5. การโฆษณาและเทคนิคการตลาด
6. ราคาสินค้าหรือบริการอื่นๆที่ต้องใช้ร่วมกันหรือแทนกันได้
7. การคาดคะเนการขึ้นลงของราคาของผู้บริโภค
8. การคาดคะเนการขึ้นลงของราคาของผู้บริโภค
9. พฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น ฤดูกาล การศึกษา
10. ภาวะเศรษฐกิจขณะนั้นๆ
4. อุปทาน (Supply)
อุปทาน หมายถึง ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ขายหรือผู้ผลิตยินดีขายหรือผลิตให้แก่ผู้ซื้อ ณ ระดับราคาต่างๆตามที่ตลาดกำหนดให้ กล่าวคือ เมื่อราคาสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งเพิ่มสูงขึ้น ผู้ผลิตก็ยินดีที่จะเสนอขายมากขึ้น แต่ถ้าราคาสินค้าชนิดนั้นลดลงปริมาณของอุปทานก็จะลดลงตามไปด้วย
4.1 กฎของอุปทาน (Law of Supply) หมายถึง ผู้ผลิตมีความต้องการเสนอขายสินค้าและบริการในราคาสินค้าและบริการที่สูง(ราคาแพง) ในปริมาณมากกว่าราคาสินค้าและบริการที่ต่ำ(ราคาถูก)
4.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปทานการที่ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคหรือผู้ซื้อมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ดังนี้
1. ราคาสินค้าและบริการในขณะนั้นๆ (กฎของอุปทาน)
2. ต้นทุนการผลิตที่เปลี่ยนแปลง (วัตถุดิบ)
3. เทคโนโลยีการผลิตที่นำมาใช้
4. ฤดูกาล
5. สภาวะของตลาดและภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้น
6. การคาดคะเนการขึ้นลงของราคาสินค้าและบริการของผู้ผลิต (การเกิดกำไร)
7. จำนวนผู้ผลิตที่เป็นคู่แข่ง (ราคาสินค้าและบริการชนิดเดียวกันที่มีการแข่งขันกัน)
5. ดุลยภาพ (Equilibrium)
กลไกราคาทำงานโดยได้รับอิทธิพลจากทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ซึ่งเราจะสังเกตเห็นได้ว่า ณเวลาใด เวลาหนึ่ง ถ้าปริมาณความต้องการหรือปริมาณอุปสงค์ต่อสินค้าในตลาดมีมากเกินกว่าปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตจะยินดีขายให้ ราคาสินค้าก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากการขาดแคลนของสินค้า แต่ถ้าปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตประสงค์จะขายให้ผู้บริโภค หรือปริมาณอุปทานของสินค้ามีมากกว่าปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคประสงค์จะซื้อ ราคาสินค้านั้นก็จะมีแนวโน้มลดต่ำลง เมื่อปริมาณอุปสงค์และปริมาณอุปทานเท่ากันราคาสินค้าจึงจะอยู่นิ่ง หรือที่เรียกว่า มีเสถียรภาพไม่ปรับขึ้นลงอีก ยกเว้นว่า จะมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้ตลาดต้องเปลี่ยนแปลงไป
สรุป การทำงานของกลไกราคาจะทำให้การจัดสรรทรัพยากรสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ตัดสินใจแทนผู้อื่น เพราะการแข่งขันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย จะทำให้สินค้ามีราคาที่สะท้อนความขาดแคลนของสินค้าหรือ ทรัพยากรนั้นๆ ผู้ซื้อย่อมทราบดีถึงความต้องการที่แท้จริงของตน เช่นเดียวกับผู้ผลิตก็ย่อมทราบดีกว่าผู้อื่นว่าต้นทุนการผลิตของตนเองเป็นอย่างไร และสมควรตอบสนองความต้องการสินค้าในท้องตลาดอย่างไร
6. อุปสงค์ส่วนเกินและอุปทานส่วนเกิน
6.1 ภาวะอุปสงค์ส่วนเกินหรืออุปทานส่วนขาด คือ ถ้าสินค้าใดเป็นที่ต้องการมาก จะทำให้ราคาสินค้าและบริการสูง ส่งผลให้สินค้าและบริการขาดตลาด อุปสงค์ส่วนเกินจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อราคาสินค้าต่ำกว่าจุดดุลยภาพ ซึ่งหมายถึง ความต้องการซื้อมีมากกว่าปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตทำการผลิตออกมาขาย
6.2 ภาวะอุปทานส่วนเกินหรืออุปสงค์ส่วนขาด คือ ถ้าสินค้าใดเป็นที่ต้องการน้อยจะทำให้การบริโภคสินค้าและบริการต่ำ ส่งผลให้สินค้าและบริการล้นตลาด อุปทานส่วนเกินจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อราคาสินค้าอยู่เหนือจุดดุลยภาพ ซึ่งหมายถึงความต้องการซื้อสินค้าและบริการมีน้อยกว่าปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตผลิตออกมาขาย
ปัญหาทางเศรษฐกิจ
1. เงินเฟ้อ (Continued)
คือ ภาวะที่ราคาของแพง ค่าของเงินลดลง
ผลกระทบของเงินเฟ้อ
1. อำนาจการซื้อลดลง
2. การออมและการลงทุนลดลง (High consumption in the current period)
3. การกระจายรายได้เหลื่อมล้ำมากขึ้น
บุคคลที่ได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อ : เจ้าของกิจการ ผู้ผลิต นักเก็งกำไร ลูกหนี้
บุคคลที่เสียประโยชน์ : ผู้ที่มีรายได้ประจำ เจ้าหนี้
4. การส่งออกของประเทศลดลง การนำเข้าเพิ่มขึ้น
2. เงินฝืด (Deflation)
คือ ภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ ราคาราคาสินค้าและบริการทั่วไปลดลงเรื่อยๆ
เนื่องจากอุปสงค์มีน้อยกว่าปริมาณสินค้าทำให้สินค้าเหลือ ราคาสินค้าลดลง การผลิตลดลง การจ้างงาน
ลดลง รายได้ลดลงค่าของเงินสูง
ผลของเงินฝืด : อำนาจซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น
ผู้ที่ได้ประโยชน์ : เจ้าหนี้ , ผู้มีรายได้ประจำ
ผู้ที่เสียประโยชน์ : ผู้ที่มีรายได้จากกำไร , ลูกหนี้
การแก้ปัญหาเงินฝืด : ใช้นโยบายการเงิน การคลัง เพื่อกระตุ้นให้ อุปสงค์รวมสูงขึ้น
3. การว่างงาน
การว่างงาน คือ ภาวการณ์ที่บุคคลในวัยแรงงาน (ผู้ที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไป) มีความสามารถที่จะ
ทำงานและสมัครใจที่จะทำงาน แต่ไม่สามารถหางานทำได้ จึงทำให้ไม่มีงานทำ เราถือว่าบุคคลเหล่านี้
ว่างงานโดยไม่สมัครใจ (Involuntary Unemployment)
ประเภทของการว่างงาน
1. การว่างงานโดยเปิดเผย (in survey period): temporary, seasonal
2. การว่างงานแอบแฝง หรือ การทำงานต่ำกว่าระดับ
ผลกระทบของการว่างงาน
1. การใช้ประโยชน์จากแรงงานไม่เต็มที่
2. การออมและการลงทุนของประเทศลดลง
3. การกระจายรายได้เหลื่อมล้ำมากขึ้น
4. การคลังของรัฐบาลแย่ลง (T ลด, G เพิ่ม)