ข้ามไปเนื้อหา

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรัฐศาสตร์/รูปแบบการปกครอง

จาก วิกิตำรา

1. การปกครองแบบคนเดียว เป็นการปกครองที่คน ๆ เดียวมีอำนาจสูงสุด เช่น กษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช

            2. การปกครองแบบคนกลุ่มน้อย เป็นการปกครองที่ประกอบด้วยคนกลุ่มเดียวที่ได้อำนาจมาด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร และทำหน้าที่เป็นรัฐบาล ผูกขาดอำนาจแต่เพียงคนกลุ่มเดียว เช่น การปกครองแบบคณาธิปไตย อภิชนาธิปไตย คอมมิวนิสต์

            3. การปกครองแบบกลุ่มคนจำนวนมาก เป็นการปกครองที่คนกลุ่มใหญ่มีส่วนร่วมในทางการเมือง เช่น การปกครองในระบบประชาธิปไตย

การปกครองในระบอบเผด็จการ

[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

                        การปกครองแบบเผด็จการอำนาจนิยม คือ การปกครองแบบเผด็จการที่ยึดหลักว่าอำนาจทั้งหลายทั้งปวงในรัฐจะต้องรวมอยู่ในมือของคนกลุ่มน้อยหรือคนกลุ่มเดียวซึ่งมีการรวมอำนาจ เช่น การรวมอำนาจด้วยวิธีการปฏิวัติรัฐประหาร ผู้ที่ยึดอำนาจรัฐได้จะเป็นรัฐบาลโดยที่รัฐบาลไม่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ใดโดยเฉพาะไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน เพราะเป็นฐานอำนาจมิได้มาจากประชาชน

การปกครองแบบเผด็จการอำนาจนิยม ได้แก่

[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

อัตตาธิปไตย (Authocracy) หรือการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช กษัตริย์ทรงไว้ซึ่งอำนาจในการปกครองโดยไม่มีขอบเขตจำกัด เช่น จักรพรรดิซีซาร์ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นต้น

คณาธิปไตย (Oligarchy) เป็นการปกครองแบบเผด็จการที่ประกอบด้วยคนกลุ่มเดียว (ไม่ใช่ระบบเผด็จการโดยคน ๆ เดียว) คนกลุ่มนี้จะเป็นผู้มีอำนาจในการปกครองประเทศอย่างแท้จริง อำนาจการปกครองประเทศอย่างแท้จริง อำนาจการปกครองถูกผูกขาดโดยคนกลุ่มเดียว เช่น คณะปฏิวัติ                        

อภิชนาธิปไตย (Aristocracy) เป็นการปกครองโดยชนกลุ่มน้อย ซึ่งตามปกติมักจะเป็นผู้มีตำแหน่งสูงในทางราชการ เช่น พวกขุนนาง หรือมิฉะนั้นก็เป็นผู้มีอำนาจในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ในอดีตบางประเทศ กลุ่มขุนนาง หรือกลุ่มอภิสิทธิ์ชน มีอำนาจเหล่านี้ จะเข้าปกครองประเทศซึ่งผลที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดรูปรัฐบาลเผด็จการ                        

การปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ            เป็นระบบเผด็จการที่มีการรวมอำนาจ เช่น การปฏิวัติรัฐประหาร ผู้ยึดอำนาจได้จะเป็นรัฐบาล และไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน โดยถือว่ากิจการทุกอย่างของประชาชน รวมทั้งวิถีดำรงชีวิตทั้งปวงของประชาชนไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมือง จะต้องตกอยู่ในอำนาจของรัฐบาลแต่ผู้เดียว

การปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ ได้แก่

[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

ฟาสซิส (Fascism) เป็นการปกครองแบบเผด็จการที่ประชาชนถูกจำกัดสิทธิและถูกบังคับ โดยมีความเชื่อว่า คนเกิดมาเพื่อรัฐ และจะต้องรับใช้รัฐตลอดไป รัฐที่เข้มแข็งกว่าย่อมได้สิทธิในการปกครองผู้ที่อ่อนแอกว่าต้องสละสิทธิดังกล่าว การปกครองโดยคนกลุ่มน้อย หรือคน ๆ เดียวเป็นการปกครองที่ดีที่สุด เพราะมีประสิทธิภาพช่วยช่วยให้ประเทศชาติเจริญอย่างรวดเร็ว และถือว่ารัฐเป็นเสมือนสิ่งที่มีชีวิต ย่อมต้องเจริญเติบโตอยู่ตลอดเวลา เหมือนรัฐจะต้องเจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งมีการขยายดินแดน เพราะฉะนั้น สงครามจึงเป็นสิ่งที่ชอบธรรม เช่น รัฐบาลภายใต้พรรคฟาสซิสของมุสโสลินี

                        ปัจจุบันผู้ที่นิยม ทหารนิยม ชาตินิยม เชื้อชาตินิยม หรือจักรวรรดินิยม ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นพวกฟาสซิส

                        ฉะนั้นพวกนาซีและฟาสซิสจึงมีวัตถุประสงค์ที่จะขยายดินแดน ขยายการควบคุมเข้าไปในส่วนต่าง ๆ ในโลก เพราะถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของชาติตน โดยถือว่าการครอบครองชาติอื่นเป็นคุณธรรม เพราะยิ่งครอบครองชาติอื่นได้มากขึ้นเท่าใด ชาติของตนก็จะมีฐานะเด่นมากขึ้นเท่านั้น                        

คอมมิวนิสต์ (Communism) เป็นลัทธิการเมืองและเศรษฐกิจ คิดขึ้นโดย คาร์ลมาร์กซ์ และเองเกลส์ ซึ่งต้องการให้มีรัฐบาลกลางภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์มีอำนาจ เพื่อควบคุมการเมืองและเศรษฐกิจของชาติ โดยขจัดพวกที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินหรือการผลิต ต้องการให้มีการปฏิวัติและทำลายล้างระบบการเมืองอื่น ๆ ผู้ปกครองประเทศจะต้องเป็นคอมมิวนิสต์พวกเดียวเท่านั้น ประชาชนอื่นไม่มีสิทธิ พวกคอมมิวนิสต์ถือว่าตนมีอำนาจปกครองเพราะอ้างว่าเป็นตัวแทนของชนชั้นกรรมาชีพ


เปรียบเทียบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

การปกครองแบบรัฐสภา

[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

                        1. ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย

                        2. ประชาชนเป็นผู้เลือกสมาชิกรัฐสภา

                        3. สภาสามัญเลือกคณะรัฐบาล

                        4. คณะรัฐบาลมาจากพรรคที่มีเสียงข้างมากในสภาสามัญ

                        5. นายกรับมนตรีและรัฐมนตรีส่วนมากต้องมาจากสภาสามัญ

                       6. คณะรัฐบาลอยู่ในตำแหน่งได้นานตราบเท่าที่สภาสามัญไว้วางใจ

                        7. พรรคที่มีเสียงข้างมากในสภาสามัญทำหน้าที่เป็นรัฐบาล ส่วนพรรคที่มีเสียงข้างน้อยทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน

                        8. ทุกครั้งที่มีการประชุมสภาสามัญ คณะรัฐมนตรีต้องไปร่วมประชุมด้วยและมีหน้าที่ตอบกระทู้ถามของสมาชิกสภา

                        9. ผู้มีสิทธิเสนอร่างกฎหมาย คือ สมาชิกสภาสามัญและสมาชิกสภาขุนนางกับคณะรัฐมนตรี

                        10. คณะรัฐมนตรีมีอำนาจยุบสภาสามัญได้ เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่

การปกครองแบบประธานาธิบดี

[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

                        1. อำนาจสูงสุดหรืออำนาจการปกครองเป็นของประชาชน

                        2. ประชาชนเป็นผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง และเลือกตั้งสมาชิกสภาคองเกรสโดยตรง

                        3. ประธานาธิบดีและสภาคองเกรสมีระยะเวลาอยู่ในตำแหน่งแน่นอนและมั่นคง ต่างเป็นอิสระต่างหากจากกัน ไม่ขึ้นต่อกันและกัน และถอดถอนกันไม่ได้

                        4. ประธานาธิบดีเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารและเป็นประมุขของรัฐ

                        5. เมื่อประธานาธิบดีถึงแก่อสัญกรรมหรือลาออกหรือไร้สมรรถภาพ รองประธานาธิบดีเข้าดำรงตำแหน่งแทน

                        6. สมาชิกสภาจะเป็นรัฐมนตรีไม่ได้

                        7. ประธานาธิบดีจะเข้าร่วมประชุมสภาในสภาหนึ่งหรือประชุมร่วมกันมิได้ สมาชิกจะตั้งกระทู้ถามประธานาธิบดีหรือรัฐมนตรีไม่ได้

                        8. ประธานาธิบดีไม่มีสิทธิเสนอร่างกฎหมาย

                        9. ร่างกฎหมายจะต้องผ่านการพิจารณาของทั้ง 2 สภา

                        10. ร่างกฎหมายอาจเป็นโมฆะได้ ถ้าขัดกับรัฐธรรมนูญ

                        11. ประธานาธิบดีและคณะรัฐมนตรีอาจสังกัดพรรคหนึ่งและเสียงข้างมาก ในสภาคองเกรสอาจเป็นของอีกพรรคหนึ่งก็ได้

การปกครองกึ่งผสมแบบรัฐสภากับแบบประธานาธิบดี

[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

                        1. ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย

                        2. ประชาชนเป็นผู้เลือกประธานาธิบดีโดยตรง และเลือกสมาชิกสภาได้โดยตรง

3. ประธานาธิบดีมีอำนาจแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี และเสนอให้สภาให้ความไว้วางใจ

                        4. ส.ส. เป็นรัฐมนตรีไม่ได้

                        5. คณะรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่งได้นานตราบเท่าที่สภาให้ความไว้วางใจ

                        6. พรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในสภาทำหน้าที่สนับสนุนรัฐบาล ส่วนพรรคเสียงข้างน้อยทำหน้าที่ฝ่ายค้าน

                        7. ทุกครั้งมีสภามีการประชุม คณะรัฐมนตรีต้องไปร่วมประชุมเพื่อตอบกระทู้ถาม

                        8. คณะรัฐมนตรีกับสมาชิกสภามีสิทธิเสนอร่างกฎหมาย

                        9. ประธานาธิบดีมีอำนาจพิเศษหรืออำนาจฉุกเฉิน ซึ่งจะทำให้ประธานาธิบดีมีอำนาจ ใช้อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการ ได้เมื่อมีเหตุการณ์อันกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของชาติ

เปรียบเทียบการปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตย

[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

                        ป. อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน

                        ค. อำนาจอธิปไตยเป็นของชนชั้นกรรมาชีพ

                        ป. ประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุดในการเลือกรัฐบาล

                        ค. รัฐบาลเลือกมาจากพรรคคอมมิวนิสต์

                        ป. รัฐบาลโดยเสียงข้างมาก

                        ค. รัฐบาลโดยพรรค

                        ป. ประชาชนมีสิทธิขั้นมูลฐาน

                        ค. ประชาชนต้องปฏิบัติตามแนวของรัฐบาล

                        ป. คือหลักการแบ่งแยกอำนาจ

                        ค. คือหลักประชาธิปไตยรวมศูนย์

                        ป. มีการแข่งขันกันระหว่างกลุ่มผลประโยชน์

                        ค. แข่งขันกันภายในพรรค

                        ป. ยึดหลักกฎหมาย

                        ค. ถือนโยบายของพรรคเป็นสำคัญ