เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น/ลัทธิเศรษฐศาสตร์การเมือง
1.ลัทธิเทวสิทธิ์ (Divine Right of Kings)
§อ้างว่า กษัตริย์ มีความชอบธรรมที่จะปกครอง เพราะได้อำนาจมาจาก พระเจ้า (God)
§ระบบเศรษฐกิจแบบศักดินา (feudalism) มีความชอบธรรม
§รัฐบาลเป็นสถาบันศักดิ์สิทธิ์ ได้รับอำนาจและรับรองจากพระเจ้า
§การปฏิเสธหรือต่อต้านรัฐและรัฐบาลเท่ากับการปฏิเสธพระเจ้า
§ เซนต์ โทมัส อไควนัส (St.Thomas Aquinas, 1220-1274)
§ชีวิตสังคมและการเมืองเป็นส่วนหนึ่งของระบบจักวาล ผู้ที่อยู่ต่ำกว่ารับใช้ผู้ที่อยู่สูงกว่า ผู้ที่อยู่สูงกว่าเป็นผู้นำและควบคุมผู้อยู่ต่ำกว่า สมาชิกของสังคมต่างทำงานในหน้าที่ของตน แต่ละคนมีหน้าที่ในสังคมต่างกัน แต่รวมเข้าแล้วต่างก็ทำประโยชน์ให้สังคมด้วยกันทั้งนั้น ระบบสังคมต้องมีส่วนที่เป็นหัวหน้าปกครองเช่นเดียวกับที่ร่างกายมีวิญญาณปกครอง
§ในด้านเศรษฐกิจ ได้เสนอ ทฤษฎีราคายุติธรรม (just price) เนื่องจากสมาชิกของสังคมมีพันธะต่อกัน ฉะนั้นราคาสินค้าที่กำหนดขึ้นในการแลกเปลี่ยนควรเป็นราคาที่ยุติธรรม
2. ลัทธิสมบูรณาญาสิทธิ์ (Absolute Monarchy)
§การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) มนุษย์ลดความเชื่ออย่างงมงายในพระเจ้า
§เกิดนิกายโปรเตสแตนต์ (Protestantism) เชื่อถือว่าคริสต์ศาสนิกชนอาจอ่าน และตีความพระคัมภีร์เองได้โดยการนำของมาร์ติน ลูเธ่อร์ (Martin Luther,1483-1546)
§นิโคโล แมคเคียเวลลี (Nicolo Machiavelli,1469-1572)
§ผู้ปกครองมีอำนาจเด็จขาด เพราะอำนาจเด็ดขาดเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความมั่นคงและสันติภาพ
เปลี่ยนการถือครองอำนาจจากพระเจ้า มาสู่ กษัตริย์
§เน้นการรวมศูนย์อำนาจ (Centralization)
ดึงเอาอำนาจจากเหล่าขุนนาง คืนสู่ กษัตริย์
§โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes, 1588-1679)
§มนุษย์ยอมมอบอำนาจและสิทธิในสภาพธรรมชาติให้องค์อธิปัตย์ องค์อธิปัตย์มีอำนาจเด็ดขาดแต่ผู้เดียว เพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงของสมาชิกของสังคมไว้ได้
§องค์อธิปัตย์ควรมีรูปแบบเป็น กษัตริย์
§
§ลัทธิพาณิชย์นิยม (Mercantilism) ช่วงศตวรรษที่ 16 -18
§การเปลี่ยนจากเกษตรแบบเลี้ยงตัวเอง มาสู่ การค้าขายแลกเปลี่ยน
§เปลี่ยนจากการส่งมอบผลผลิตให้ขุนนาง เป็น การคลังของรัฐ (กษัตริย์)
§การสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ สะสมทองคำและเงิน
§การค้าระหว่างประเทศ เน้นการส่งออกให้มากกว่านำเข้าโดยตั้งกำแพงภาษี
จำกัดการนำเข้าสินค้า
3.ลัทธิเสรีนิยมคลาสสิก (Classical Liberalism)
§จอห์น ลอค (John Locke,1632-1704)
§พระเจ้าไม่ได้ปรารถนาที่จะให้มนุษย์ผู้ใดได้สิทธิจากพระเจ้ามากกว่าผู้อื่น
§มนุษย์จะต้องเคารพเสรีภาพ และไม่ก้าวก่ายในสิทธิของผู้อื่น
§หน้าที่ของรัฐ คือ การรักษาสิทธิธรรมชาติของมนุษย์ ได้แก่ ชีวิต ทรัพย์สิน และเสรีภาพ นอกเหนือจากนั้น ปล่อยให้สมาชิกจัดการเอง
§รัฐต้องเคารพสิทธิและต้องจำกัดอำนาจของตนให้อยู่ในขอบเขต
4.ลัทธิเสรีนิยมใหม่ (Neo Liberalism)
§ให้ความสำคัญกับ การตัดสินใจเลือกของปัจเจกบุคคล จากความพึงพอใจสูงสุด (Utility Maximization)
§หากแต่ละคนได้ประโยชน์สูงสุด สังคมส่วนรวมก็จะได้ประโยชน์สูงสุดตามไปด้วย
§การแสวงหาประโยชน์สูงสุดของแต่ละคน จะถูกถ่วงดุลซึ่งกันและกัน จากสภาพการแข่งขันเสรีในตลาด
§จนได้จุดดุลยภาพ (Equilibrium) ที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ เช่น ราคาสินค้าและบริการ ผู้ขายและผู้ซื้อจะมีจุดราคาดุลยภาพที่ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายพึงพอใจซึ่งกันและกัน
§ให้ความสำคัญกับ การแข่งขัน (Competition)
§แรงกดดันจากการแข่งขันในระบบตลาดเป็นสิ่งจูงใจให้ปัจเจกบุคคลต้องพัฒนายกระดับตนเอง ให้ภาคธุรกิจต้องพัฒนาด้านการผลิต เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness)
§เพื่อความอยู่รอดในเกมการแข่งขันของระบบตลาดเสรี (ทุนนิยม)
§จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill , 1806 - 1873)
§เสรีภาพส่วนบุคคลจะเกิดได้ต้องให้โอกาสเท่าเทียมกัน ไม่ใช่เท่าเทียมกันในรายได้หรือความฉลาด ดังนั้นโอกาสเท่าเทียมกันเกิดได้ เมื่อทุกคนเริ่มต้นอย่างเป็นธรรม (All start fair) ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้มีบทบาทวางนโยบายเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดขึ้น กระทำได้ 2 ประการ คือ
1)เข้าแทรกแซงโดยใช้อำนาจ (Authoritative Intervention) เพื่อห้ามหรือจำกัดพลังของตลาด เช่น ออกกฎหมายห้ามขึ้นราคาสินค้า จำกัดผลผลิตมันสำปะหลัง เป็นต้น ก็จะบังเกิดโอกาสเท่าเทียมกันมากขึ้น
2)เข้าแทรกแซงโดยให้การสนับสนุน (Supportive Intervention) เพื่อขยายพลังของตลาดให้เกิดการซื้อขายมาก และผลิตสินค้าได้มากขึ้น คนจนมีงานทำมีรายได้ เท่ากับ เกิดโอกาสเท่าเทียมกันแก่คนยากจนมากขึ้น
§จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill , 1806 - 1873)
§นโยบายการคลังด้านภาษีเป็นเครื่องมือที่จะสร้างความเป็นธรรม ควรวางนโยบายการเก็บภาษีแตกต่างกัน 3 ประการ
1)ภาษีเงินได้ (ยกเว้นภาษีแก่ผู้มีรายได้ต่ำกว่าจำนวนที่กำหนดไว้)
2)ภาษีมรดกและภาษีสรรพสามิต
3)ภาษีสิ่งฟุ่มเฟือย
5.ลัทธิมาร์กซิสม์ (Marxism)
§คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx,1818-1883)
§การพัฒนาในแนวทางเศรษฐศาสตร์กระแสหลักท้ายสุดจะก่อให้เกิดชนชั้นที่ชัดเจนเป็นสองกลุ่ม คือ ชนชั้นสูงคนรวยจำนวนน้อยนิด และชนชั้นกรรมาชีพที่เป็นคนจนและเป็นสัดส่วนที่ใหญ่มากในระบบเศรษฐกิจ
§ตอกย้ำภาพความล้มเหลวการกระจายรายได้ของประเทศอย่างชัดเจน
§แต่ปัจจุบันการพัฒนาเศรษฐกิจได้สร้างภาพชนชั้นกลางให้เป็นชนชั้นส่วนใหญ่ของประเทศได้สำเร็จ โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้ว
§แนวทางเพิ่มปริมาณชนชั้นกลางและการจัดสวัสดิการในสังคมที่เพียงพอกลายมาเป็นลัทธิแก้ปัญหาของระบบทุนนิยม (Capitalism) ในปัจจุบัน
§ลัทธิมาร์กซิสม์ ได้รับอิทธิพลจาก แนวคิดสังคมนิยม
(ปัจจัยการผลิตเป็นของสังคม)
§ระบบสังคมนิยม (Socialism)
§รัฐบาลเป็นเจ้าของทุนและปัจจัยการผลิต เอกชนถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินบางอย่างไม่ได้ ซึ่งตรงข้ามกับระบบนายทุนที่ยอมให้เอกชนเป็นเจ้าของทั้งปัจจัยการผลิตและมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
§ระบบสังคมนิยมไม่ถือกำไรเป็นสิ่งจูงใจ ไม่มีพลังตลาด (อุปสงค์และอุปทาน) ที่บังคับให้เกิดการผลิต ดังนั้นรัฐจึงต้องดำเนินธุรกิจเป็นกิจการขนาดใหญ่
§ระบบสังคมนิยมต้องการแบ่งทรัพย์สินและรายได้เป็นไปโดยยุติธรรม สังคมนิยมต่างกับระบบคอมมิวนิสต์ตรงที่การเข้าเป็นเจ้าของทุนของรัฐบาล สังคมนิยมจะทำโดยสงบและเป็นแบบประชาธิปไตย
§ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม มีดังนี้คือ
1)ประชาชนมีความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจมากกว่าระบบที่ต่างคนต่างอยู่
2)ประชาชนมีรายได้ใกล้เคียงกัน เศรษฐกิจไม่ค่อยผันแปรขึ้นลงมากนัก
3)รัฐจะครอบครองปัจจัยขั้นพื้นฐานไว้ทั้งหมด และความคุมกิจการสาธารณูปโภคทั้งหมด
§ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม มีดังนี้
1)แรงจูงใจในการทำงานต่ำ เพราะกำไรตกเป็นของรัฐ คนงานจะได้รับส่วนแบ่งตามความจำเป็น
2)ผู้บริโภคไม่มีโอกาสเลือกสินค้าได้มาก
3)ประชาชนไม่มีเสรีภาพอย่างเต็มที่ในการทำธุรกิจที่ตนเองมีความรู้ ความสามารถหรือต้องการจะทำ
4)ไม่ค่อยมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพราะไม่มีการแข่งขัน สินค้าอาจไม่มีคุณภาพ
§ลัทธิสังคมนิยมแบบยูโทเปีย (Utopia Socialism)
§พยายามแก้ไขความไม่ยุติธรรมในสังคม โดยจัดตั้งสหกรณ์การผลิตและการบริโภคขึ้น เสนอให้มีการผลิตแบบเดิมก่อนการผลิตแบบอุตสาหกรรม
§รัฐในความฝัน (Utopia) ตามแนวคิดของ Sir Thomas More ตามความฝันของเขาเป็นเกาะสมมุติขึ้นมีทุกสิ่งทุกอย่างแต่ถือว่าเป็นของร่วมกัน ทุกคนที่จะใช้ได้ต้องไปทำงานวันละ 6 ชั่วโมง การกินอาหารร่วมกันในโรงอาหารที่จัดไว้ มีบ้านเรือนจัดไว้ให้อยู่ตามความจำเป็นแก่อัตภาพ มีกฎหมาย และทุกคนมีสิทธิเลือกนับถือศาสนาตามความพอใจ
§นักวิชาการกลุ่มนี้เสนอว่า ควรพยายามหาทางให้ทุกคนมีทรัพย์สิน มีปัจจัยการผลิต แล้วนำปัจจัยการผลิตนั้นมาไว้รวมกัน ช่วยกันทำการผลิตในลักษณะสหกรณ์ (Co - operative)
§แนวคิดนี้ปัจจุบันได้รับความนิยมมาก เป็นแนวคิดที่ให้มีการรวมตัวกันเข้าเป็นกลุ่มโดยร่วมกันดำเนินธุรกิจ มีการจัดตั้งขึ้นด้วยวิธีการที่ถูกต้องตามกฎหมายในลักษณะทางธุรกิจ
§มีจุดหมายเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในการครองชีพ และการมีทรัพย์สินที่พอควรในรูปสหกรณ์การผลิต ด้วยวิธีการช่วยเหลือตัวเองและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในกลุ่มสมาชิก ตามหลักและวิธีการที่กำหนดไว้ โดยไม่มุ่งหวังกำไร
§หลักการของสหกรณ์ในปัจจุบัน ประการแรก ยึดหลักการรวมกลุ่มกันเป็นสำคัญ เน้นการรวมคนมากกว่าการรวมทุน เพราะสหกรณ์เกิดจากการรวมตัวกันของบุคคลที่มีฐานะทางเศรษฐกิจอ่อนแอ เพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ จึงต้องมีการรวมแรง รวมปัญญา และรวมทุน เพื่อช่วย เหลือซึ่งกันและกันในกลุ่มสมาชิก และยึดหลักการช่วยเหลือตัวเอง
§ประการที่สอง การจัดตั้งโดยความสมัครใจของสมาชิก เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน
§ประการที่สาม หลักความเสมอภาค สมาชิกทุกคนมีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมได้คนละ 1 เสียงเท่านั้น โดยจะไม่คำนึงถึงจำนวนหุ้นที่ถืออยู่
§ประการสุดท้าย ผลประโยชน์ของสมาชิกโดยส่วนรวมเป็นเป้าหมายหลัก ผลประโยชน์ที่ได้รับจะไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ แต่จะขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมในกิจการของสหกรณ์
§ตามคติที่ว่า “สมาชิกแต่ละคน เพื่อสมาชิกทั้งหมด และสมาชิกทั้งหมด เพื่อสมาชิกแต่ละคน” (Each for all , and all for each)
ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ (Communism)
[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]§ระบบเศรษฐกิจและการเมืองที่รัฐเป็นเจ้าของทุนและปัจจัยการผลิตทุกชนิด
§รัฐเป็นผู้กำหนดการตัดสินใจในทางเศรษฐกิจและสังคมทั้งหมด
§เป็นระบบที่ตรงกันข้ามกับระบบทุนนิยมโดยสิ้นเชิง
§รัฐจะเข้ามาควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจไว้ทั้งหมด โดยจะกำหนดว่าจะผลิตสินค้าและบริการอะไร ผลิตอย่างไร และผลิตเพื่อใคร เอกชนไม่มีสิทธิ์ในการถือครองทรัพย์สินเพื่อการผลิตต่างๆ เช่น การถือครองที่ดิน เป็นต้น
§ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์นั้น พัฒนามาจากแนวความคิดทางเศรษฐกิจของคาร์ล มาร์ค (Karl Marx) นักเศรษฐศาสตร์ผู้ซึ่งได้รับสมญานามว่า “บิดาแห่งลัทธิคอมมิวนิสต์”
§วาลาดิเนีย อิสยิช อัลยานอบ (Vladinir Ilych Ulyanov) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปในนามของ เลนิน (Lenin) นักปฏิวัติโซเวียต ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงการปกครองและนำระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์มาใช้กับสหภาพรัสเซียเป็นประเทศแรก
6.ลัทธิเคนส์ (Keynesian Economics)
[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]§จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes ,1883-1946)
§มุ่งหาทางแก้ปัญหาความล้มเหลวของตลาดเสรี (Classical Liberalism) เน้นหน้าที่ของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มอุปสงค์รวม เพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ลดการว่างงาน และช่วยแก้ภาวะเงินฝืด
§วิธีการแก้ไขภาวะเศรษฐกิจตกต่ำโดยการกระตุ้น (จูงใจให้ลงทุน) ผ่านการใช้สองวิธีรวมกัน คือ การลดอัตราดอกเบี้ย และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
§เครื่องมือที่สำคัญ คือ นโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง (งบประมาณรายจ่ายของภาครัฐ)
§เศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ (Keynesian Economics) ก่อให้เกิดการวางแผนแบบชี้นำทิศทางของการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม (indicative planning) โดยที่รัฐลงทุนสร้างโครงข่ายพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (infrastructure) พร้อมทั้งกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศแล้วปล่อยให้เอกชนเป็นฝ่ายตัดสินใจลงทุน