ส่วนที่ 2 เทคนิคและเรื่องควรรู้ในการปลูกบ้าน

จาก วิกิตำรา

ปัญหาที่ควรทราบก่อนการสร้างบ้าน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

จะซื้อที่ดินซักแปลง ต้องตรวจเช็คหน่วยงานราชการที่ใดบ้าง ความจริงน่าจะไปถามที่กรมที่ดิน หรือหาหนังสือเกี่ยวกับการซื้อ ขายที่ดินอ่านจะดีที่สุด แต่เท่าที่นึกออกคงจะมีดังต่อไปนี้

  • การทางพิเศษ (เรื่องทางด่วน)
  • กทม.หรือกรมโยธาธิการ (เรื่องการตัดถนนและเขตห้ามก่อสร้าง)
  • กรมการบินพาณิชย์ (เขตห้ามก่อสร้างเพราะบังคลื่นวิทยุ)
  • กรมทางหลวง (เรื่องการตัดถนน)
  • การไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้านครหลวงหรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(สายไฟฟ้าแรงสูงผ่าน)

จะสร้างบ้าน (มีที่ดินแล้ว) สักหลัง แต่ไม่รู้จักใครเลยเริ่มต้นที่ไหนดี[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

หากคุณมีที่ดินแล้วก็อยากสร้างบ้านสักหลัง แต่ไม่เคยรู้จักใครเลย และก็ไม่มีเงินเพียงพอที่จะเสี่ยงต่อความเสียหาย หรืองบประมาณ บานปลาย คุณอาจดำเนินการดังนี้

1. ติดต่อบริษัทที่รับสร้างบ้านสำเร็จรูปตามแบบของเขา (เปิดหาได้ตามโฆษณาทั่วไป) ตรวจสอบดูผลงานเขาจากสถานที่จริง (หากเขาไม่มีตัวอย่างให้ดูก็ ไปเลือกบริษัทอื่น) ดูแบบที่เขามีอยู่ในบริษัท พร้อมงบประมาณ ว่าเป็นที่พอใจของคุณหรือไม่ หากพอใจก็ติดต่อตกลงกับเขาเพื่อ ดำเนินการเลย

2. หากไม่พอใจขั้นตอนในข้อแรก และก็ไม่รู้จักสถาปนิกเลยสักคน ลองติดต่อกับสถาปนิกอื่นๆ เพื่อให้เขาแนะนำสถาปนิกให้คุณสัก คน เมื่อคุณเจอสถาปนิกแล้ว ก็ตกลงในการว่าจ้างวิชาชีพกันต่อไป (คุณจะต้องเสียค่าออกแบบ หากคุณจะดูแบบซึ่งต่างจากข้อแรกที่ คุณดูแบบได้ฟรีโดยไม่ต้องเสียสตางค์)

3. หากทั้งสองขั้นตอนนี้ยังไม่เป็นที่พอใจคุณอีกแนะนำให้ลอง ตระเวนดูบ้านที่คุณพอใจ แล้วเคาะประตูถามเจ้าของบ้านนั้นว่า เขาได้แบบบ้านที่คุณพอใจนั้นมาอย่างไร (หากเขาไม่ไล่คุณ ออกมาจากบ้านเสียก่อนก็ทำตามที่เขาบอก)

จะถมดินสร้างบ้าน จะถมด้วยอะไรดี[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

ก่อนที่จะตอบคำถามที่ว่าจะถมด้วยอะไรถึงจะดี ก็คง จะต้องมีคำถามถามกลับสัก 2 – 3 คำถามเสียก่อนนั่นคือ ก่อนที่ ท่านจะไปจ้างคนมาถมที่ ท่านได้มีข้อสรุปเกี่ยวกับระดับที่ ต้องการจะถมแล้วหรือยังว่า จะถมสูงขึ้นมาแค่ไหน และพื้นที่ ส่วนที่จะถมนั้นจะมีการใช้งานอย่างไร จะปลูกต้นไม้หรือจะใช้ จอดรถ หรือคุณจะถมปรับระดับเพื่อทำลานคอนกรีต อีกคำถาม หนึ่งก็คือ วิธีการที่จะถม จะถมหมดทั้งพื้นที่หรือว่าจะเก็บรักษา ต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่งเอาไว้หรือไม่ เมื่อท่านตอบคำถามเหล่านี้ได้ครบถ้วนแล้วก็คงจะเกิด คำถามขึ้นอีกว่า ท่านควรจะถมเมื่อไร ซึ่งก็ขอแนะนำให้ถมก่อน เริ่มก่อสร้างบ้าน เพราะท่านจะต้องใช้เวลาก่อสร้างประมาณหนึ่ง ปีซึ่งจะเป็นระยะที่ดินจะแน่นตัวลงไป เมื่อสร้างบ้านเสร็จ เรียบร้อยท่านจึงทำการถมด้วยหน้าดินอีกครั้งหนึ่งบางๆ เพื่อใช้ ปลูกต้นไม้ครับ

อะไรกันนะ เงินล่วงหน้า เงินประกันสัญญา เงินประกันผลงาน ฯลฯ[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

การก่อสร้างในบ้านเราใหญ่โตขึ้นทุกวัน การทำสัญญาก่อสร้าง การ จ่ายชำระค่าก่อสร้าง การค้ำประกันผลงาน เป็นเรื่องที่ชักจะวุ่นวาย และเป็นที่ถกเถียงกันระหว่างเจ้าของโครงการ ผู้รับเหมาก่อสร้าง และที่ปรึกษากันมาก จึงขอเรียบเรียงเรื่องได้ดังนี้

1. เมื่อตกลงทำสัญญา (สมมติค่าของงานตามสัญญา= 100 บาท) ผู้ว่า จ้างมักต้องจ่ายเงินล่วงหน้า (advance payment) ให้ผู้รับเหมา 10% (บางทีก็ 5% เป็นเงินสด 10 บาท แล้วผู้รับเหมาจะส่งเอกสาร ค้ำประกันธนาคารให้ผู้ว่าจ้าง 2 ฉบับ ฉบับแรกคือค้ำประกันเงิน ล่วงหน้าที่รับไป (advance bank guarantee) เท่าจำนวนเงิน ล่วงหน้าที่รับไปคือ 10 บาท ส่วนฉบับที่สองเป็นเอกสารค้ำ ประกันสัญญา (contract guarantee) ประมาณ 5% คือ 5 บาท ณ วินาทีนั้นเจ้าของจะจ่ายเงินสดออก =15 บาท และได้bank guarantee คืนมาสองฉบับรวมมูลค่า 15 บาท (10 บาท + 5 บาท) เอกสารทั้งสองฉบับมีอายุเท่ากับระยะเวลาเต็มของสัญญา

2. เมื่อมีการทำงานเกิดขึ้น ผู้รับเหมาทำงานเสร็จแล้วบางส่วน (สมมติว่ามีมูลค่าที่ทำไปแล้ว 20 บาท) เวลาผู้รับเหมาเบิกเงินก็ จะต้องหักเงินที่ได้รับล่วงหน้าออกไปตามเปอร์เซ็นต์เดิม (เรียก ภาษาก่อสร้างว่า rimbursement) และหักค่าค้ำประกันผลงาน (ไม่ใช่ค้ำประกันสัญญาเรียกว่า Retension) อีกประมาณ 5% เช่น เบิกเงินมูลค่า 20 บาทจะรับไปจริงเพียง 17 บาท (20 บาท -2 บาท – 1 บาท)

3. เมื่องานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าของจะจ่ายเงินไปทั้งหมด 95 บาท เพราะ advance คืนครบหมด แต่เก็บ retension ไว้ 5 บาท

4. เมื่อผู้รับเหมาส่งงานพร้อมเอกสารทุกอย่างแล้ว เจ้าของก็จะ จ่ายเงิน (สด) 5 บาทที่หักเขาไว้เอา bank guarantee 2 ฉบับที่ ได้มาเมื่อวันเซ็นสัญญาคืนผู้รับเหมาไปและผู้รับเหมาก็จะทำ เอกสารค้ำประกันใหม่ให้ 1 ฉบับ (work guarantee) เพื่อประกัน ผลงานอายุ 1 ปีให้เจ้าของไป

5. เมื่อครบ 1 ปี หากงานไม่มีปัญหาอะไรเจ้าของจะคืน work guarantee ให้ผู้รับเหมาไป...อันจบพิธี

สถาปนิกต้องมีจรรยาบรรณอะไรบ้างและแบ่งระดับชั้นกันอย่างไร[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

สถาปนิก เป็นวิชาชีพที่ถูกควบคุมประเภทหนึ่งพระราชบัญญัติ ควบคุมเป็นของตนเอง มีคณะกรรมการควบคุมการประกอบ วิชาชีพสถาปัตยกรรม (ก.ส.) โดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็น ประธาน ดังนั้น จึงต้องมีจรรยาบรรณมารยาทที่กำหนดเอาไว้ หากสถาปนิกใดไม่ทำตาม จะถูกพิจารณาโทษจากคณะกรรมการ ซึ่งจากกฎกระทรวงฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2511) ได้ประกาศไว้และแปล เป็นภาษาง่ายๆ ได้ดังนี้

  1. ต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ไม่ทิ้งงานหากไม่มีเหตุอันควร และต้องตั้งใจทำงานของตนให้เป็นผลดีต่อ “สังคม”
  2. ห้ามทำอะไรทีเสื่อมเสียแก “เกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ”
  3. ห้ามโฆษณาใดๆ “ซึ่งการประกอบวิชาชีพสถาปนิก”
  4. ห้ามใช้แบบที่ออกแบบให้คนแล้ว ยกเว้นแต่เจ้าของแบบเติมอนุญาต
  5. ไม่ตรวจเช็คงานสถาปนิกคนอื่น เว้นแต่ทำตามหน้าที่และสถาปนิกอื่นนั้นทราบก่อน
  6. ไม่แย่งงานสถาปนิกอื่น(ไม่ทำงานที่สถาปนิกอื่นกำลังทำอยู่)
  7. ไม่หางานโดยการลดหรือประกวดราคาแบบ
  8. ไม่ใช้ตำแหน่ง หรืออิทธิพล หรือให้คอมมิชชั่น เพื่อได้งานออกแบบ
  9. ปกปิดความลับของแบบลูกค้าตน และไม่ลอกแบบผู้อื่น
  10. ไม่ทำลายชื่อเสียงสถาปนิกอื่น
  11. ห้ามกินค่าคอมมิชชั่น ซองขาว หรือค่าสเปก
  12. ไม่รับเหมาก่อสร้างจากจรรยาบรรณ มารยาทข้างต้น สถาปนิกพึงต้องรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ส่วนประชาชนท่านใดพบสถาปนิกเกเร! ก็สามารถแจ้งได้ที่

คณะกรรมการ ก.ส. กระทรวงมหาดไทย ไม่ต้องเกรงใจ เพราะท่าน กำลังทำดี ส่วนว่าที่สถาปนิกนั้นแบ่งชั้นกันอย่างไร

ตามกฎหมายจะแบ่งชั้นสถาปนิกออกเป็น 3 ชั้นด้วยกันคือ[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

1. ภาคีสถาปนิก (ลงท้ายด้วยชื่อ สถ ...ภ.) ยังถือเป็นสถาปนิกที่ยังมี ประสบการณ์น้อยอยู่ สามารถออกแบบ (เซ็นชื่อขออนุญาต) อาคาร โรงงาน อุตสาหกรรม และห้องแถวได้โดยไม่จำกัด แต่หากเป็น อาคารสาธารณะ หรืออาคารทางวัฒนธรรม หรือบ้าน และอาคารพัก อาศัย จะออกแบบได้ใหญ่ไม่เกินกว่า 1,000 ตารางเมตร แต่สำหรับ งานอำนวยการก่อสร้าง (ควบคุมงาน) นั้น สามารถทำได้ทุกขนาด และทุกชนิด

2. สามัญสถาปนิก (ลงท้ายชื่อด้วย สถ ....ส.) ถือว่าบารมีแก่กล้าพอแล้ว สามารถออกแบบและอำนวยการก่อสร้างได้ทุกชนิดทุกขนาด โดย ไม่มีข้อจำกัด แต่ยังเป็นคณะกรรมการ ก.ส.ไม่ได้ (หากได้รับเชิญ จากทางราชการ)

3. วุฒิสถาปนิก (ลงท้ายชื่อด้วย สถ ....ว.) ถือว่ามีประสบการณ์สูงสุด ทำอะไรต่ออะไรได้ทุกอย่างเหมือนสามัญสถาปนิก และสามารถ เป็นกรรมการ ก.ส. ได้ด้วย

หากคุณมีปัญหากับสถาปนิก และวิศวกร คุณจะทำอย่างไรดี[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

หากคุณคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นความบกพร่องในหน้าที่ จรรยาบรรณ ความซื่อสัตย์ หรือความสามารถ (ไม่ใช่เรื่องความ สวยงาม) ที่ไม่อาจตกลงกันได้อีกต่อไปแล้ว และคุณก็ไม่รู้จักจะหัน หน้าไปพึ่งใครขอแนะนำให้ดำเนินการดังต่อไปนี้

1. ร้องทุกข์หรือขอคำปรึกษาจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรม ราชูปถัมภ์ หรือวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรม ราชูปถัมภ์เป็นขั้นตอนแรกที่งายที่สุด ไม่ยุ่งยาก และไม่ต้องเสีย ค่าใช้จ่าย

2. หากขั้นตอนแรกไม่เป็นที่พอใจ หรือหาข้อยุติไม่ได้ ก็ทำเอกสาร เป็นทางการร้องทุกข์ไปยังคณะกรรมการควบคุมการประกอบ วิชาชีพสถาปัตยกรรม (ก.ส.) หรือคณะกรรมการควบคุมการประกอบ วิชาชีพวิศวกรรม (ก.ว.) กระทรวงมหาดไทย

3. หากยังตกลงกันไม่ได้ หรือยังไม่เป็นที่พอใจก็ฟ้องศาลยุติธรรม เลยครับ

ไม่ทราบปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายก่อสร้างถามที่ไหนดี[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

หากไม่ทราบเรื่องนี้จริงๆ การเดินทางไปสอบถามโดยตรงกับ หน่วยงานราชการ คุณอาจจะปวดหัวบ้าง เพราะหาคนตอบลำบาก และกฎหมายเป็นเรื่องของหลายหน่วยงาน หากจะถามโดยตรงกับ ทางราชการ คุณอาจจะต้องวิ่งรอกไปหลายที่ทีเดียว ดังนั้น แนะนำว่า อาจจะสอบถาม (ครั้งแรก) ได้ที่สมาคมสถาปนิกสยามฯ หรือวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยก่อนน่าจะดี เพราะเขาจะ ตอบปัญหาพื้นฐานได้บ้างก่อนที่คุณจะเจาะลึกต่อไปกับทาง ราชการโดยตรง

ก่อนตัดสินใจที่จะมีบ้าน

คำว่า “บ้าน” ในความหมายของแต่ละคนอาจไม่ เหมือนกัน บางคนอาจจะหมายความถึงที่อยู่อาศัยที่เป็นที่กัน แดดกันฝนเท่านั้น บางคนอาจหมายความถึงที่ที่ให้ความสบาย กายในการพักผ่อน แต่บางคนอาจจะหมายความรวมไปถึงความสุข ทางใจด้วยก็ได้ บ้านแต่ละหลัง ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความ ต้องการ ความเป็นอยู่ กิจกรรมและรสนิยม หรือ ‘ชีวิต’ ของผู้อยู่ อาศัย

การที่จะมีบ้านสักหลัง เป็นเรื่องของการที่จะต้องจ่ายเงิน ก้อนโตส่วนหนึ่งออกไป ดังนั้นเพื่อให้ได้บ้าน ‘บ้าน’ ที่เหมาะสม คุ้มค่ากับเงินที่จะต้องเสียไปจำนวนนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจมี บ้านสักหลัง จึงควรจะต้องพิถีพิถันพิจารณาถึงเรื่องต่างๆที่มี ผลกระทบ ไม่ว่าบ้านหลังนั้นจะเป็นการเช่าอยู่ การซื้อบ้าน สำเร็จรูปที่เรียกว่าบ้านจัดสรร การจ้างเขาปลูกสร้างตามแบบ หรือ แม้กระทั่งการจ้างสถาปนิกมาออกแบบให้ ผู้ที่จะเป็นเจ้าของ บ้านควรมีความรู้พื้นฐานที่จำเป็นเกี่ยวกับบ้านดังนี้

  • ความต้องการขั้นพื้นฐาน?
  • ขนาดของที่ดินและลักษณะของที่ดิน?
  • ตำแหน่งปลูกสร้างตัวบ้าน?
  • ทิศทางแดด, ลม, ฝน?
  • การจัดประโยชน์ใช้สอย?
  • รสนิยม?
  • งบประมาณที่เหมาะสม?
  • การขออนุญาตปลูกสร้าง?
  • การขอเลขที่บ้าน, ไฟฟ้า และประปา?
  • การกู้เงินจากสถาบันการเงิน?

ความรู้เหล่านี้จะช่วยให้เจ้าของบ้าน หรือผู้ที่จะมีบ้าน สามารถตัดสินใจเลือกบ้านที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด ความต้องการขั้นพื้นฐาน

สิ่งเริ่มต้นก่อนที่จะตัดสินใจเลือกบ้านหลังใดหลังหนึ่ง นั่นก็คือ การรู้ถึงความต้องการเบื้องต้นก่อนว่า บ้านที่ต้องการนั้น จะเป็นลักษณะใด ขนาดของตัวบ้าน จำนวนห้องนอน ห้องน้ำ สิ่งประกอบอื่น ๆ ต้องการอย่างไร ทั้งนี้จะพิจารณาได้จากจำนวน สมาชิกในครอบครัว กิจกรรมความเป็นอยู่ส่วนตัว เช่น จำนวน สมาชิกในครอบครัวประกอบด้วย พ่อ แม่ และลูก 2 คน จำนวน ห้องนอนของบ้าน ก็ควรจะเป็น 2 หรือ 3 ห้อง เป็นต้น หรือ ถ้าในครอบครัวจำเป็นต้องมีคนรับใช้ ห้องพักคนรับใช้ ก็เป็น ความต้องการขั้นพื้นฐานของครอบครัวนี้ด้วย

กิจกรรมของครอบครัว ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกถึงความ ต้องการพื้นฐาน เช่น ถ้าครอบครัวมักมีการสังสรรค์ที่บ้าน บ่อยครั้ง ครอบครัวนั้นอาจต้องการบ้านที่มีห้องอาหาร หรือครัว กว้างขวาง หรือต้องการเฉลียงสำหรับจัดเลี้ยงได้สะดวก เหล่านี้เป็นข้อพิจารณาเบื้องต้น ก่อนที่จะพิจารณาถึง เรื่องอื่น ๆ ต่อไป คนจำนวนมากมักประสบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่น จำนวนห้องไม่เพียงพอกับจำนวนสมาชิก หรือบ้านที่อยู่ อาศัยไม่เหมาะสมกับกิจกรรมของครอบครัว เป็นต้น ถ้าได้มีการ พิจารณาถึงความต้องการก่อนที่จะมีบ้านแล้ว ปัญหาเหล่านี้ก็จะ หมดไป

ขนาดของที่ดินและลักษณะของที่ดิน หลังจากที่คุณพิจารณาถึงความต้องการขั้นพื้นฐาน สำหรับครอบครัวของคุณแล้ว ก็จะต้องพิจารณาถึงเรื่องของที่ดิน เป็นประการต่อมา ไม่ว่าคุณจะมีที่ดินอยู่เดิมแล้ว หรืออยู่ระหว่าง การเลือกหา หรือแม้แต่ผู้เลือกซื้อบ้านจัดสรรก็ตาม ขนาดของที่ดิน จะต้องพิจารณาดูว่า ที่ดินนั้นมีขนาด พื้นที่เป็นจำนวนเท่าใด สามารถที่จะปลูกสร้างบ้านตามความ ต้องการได้หรือไม่และเมื่อปลูกสร้างแล้ว จะมีพื้นที่ดินว่างเปล่า ซึ่งเรียกตามหลักสถาปัตยกรรมว่า “พื้นที่เปิดโล่ง (OPEN SPACE)” นั้นเท่าใด ที่ดินยิ่งมีขนาดพื้นที่มากเท่าใด ความอยู่ สบาย สภาพแวดล้อมอาคารก็จะดีมากขึ้นตามไปด้วย นอกจาก ขนาดพื้นที่โดยรวมแล้ว ความกว้าง ยาว (ลึก) ของที่ดิน ก็มีผลต่อ ตัวบ้านเช่นกัน โดยทั่วไปความกว้าง ยาว (ลึก) ของที่ดิน ไม่ควร จะแตกต่างกันมากจนเกินไป (ยกเว้นกรณีพื้นที่ดินขนาดใหญ่ มาก) ซึ่งจะมีผลต่อรูปร่างของตัวบ้าน หรือความสัมพันธ์ระหว่าง พื้นที่ใช้สอยไม่ดีเท่าที่ควร ขนาดของที่ดิน ยังจะมีผลต่อการ ตัดสินใจเลือกรูปลักษณะของบ้านด้วยเช่นกัน เช่น บ้านชั้น เดียว ย่อมต้องการขนาดของพื้นที่ดินเพื่อปลูกสร้างมากกว่าบ้าน สองชั้นที่มีพื้นที่ใช้สอยเท่ากัน

ลักษณะของที่ดิน เป็นองค์ประกอบอีกสิ่งหนึ่งที่ควรต้อง พิจารณาซึ่งจะมีผลต่อการสร้างบ้านหลายประการ เช่น พิจารณา ถึงสภาพของที่ดินและลักษณะดินตลอดจนพื้นที่ข้างเคียงเพื่อผล ด้านโครงสร้างอาคาร เช่น การเลือกระบบการก่อสร้าง การเลือกใช้ วัสดุ นอกจากนั้นเจ้าของบ้าน อาจจะต้องเตรียมการปรับสภาพ ที่ดินให้พร้อม ก่อนลงมือปลูกสร้างบ้านด้วย เช่น ถมที่ ปรับ ระดับ จัดพื้นที่ เป็นต้น ถ้าไม่มีการพิจารณาในเรื่องของที่ดิน เหล่านี้แล้ว เมื่อลงมือปลูกสร้างบ้านไป อาจเกิดปัญหาภายหลังได้ เช่น น้ำท่วม ไม่มีการระบายน้ำเสีย ตลอดจนถึงเรื่องของการ ทรุดตัวของบ้านภายหลัง

ลักษณะทางกายภาพของที่ดิน ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่มีต่อ การเลือกรูปลักษณะของตัวอาคาร เช่นพื้นที่ดินที่เป็นเนินเขา หรือมีพื้นที่ต่างระดับกันสามารถที่จะปลูกสร้างบ้านต่างระดับได้ ดีกว่าการปลูกในที่ราบ นอกจากนั้น การพิจารณาในเรื่องที่ดิน ยังจะเป็นการช่วยในการตัดสินใจถึงองค์ประกอบส่วนอื่น ๆ ของ บ้าน นอกเหนือจากตัวอาคาร เช่น ถนน สวน เป็นต้น อีกด้วย ความสัมพันธ์กับถนนภายนอกบ้าน

ถนนที่ผ่านหน้าที่ดินก็มีความสำคัญกับการจัดวาง ตำแหน่งตัวบ้านเช่นเดียวกัน โดยจะต้องคำนึงถึงว่าบริเวณที่ดิน ของคุณนั้น ใกล้กับทางแยกหรือไม่ เพื่อที่จะได้จัดตำแหน่งของ ส่วนที่เป็นถนนภายในบ้านหรือทางเข้าบ้านได้ถูกต้อง เช่น ถ้า ที่ดินนั้นอยู่ใกล้กับทางแยก ก็ควรที่จะจัดทางเข้าบ้านนั้นให้ ห่างจากทางแยกมากที่สุด เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการเข้า ออก เมื่อหาตำแหน่งของทางเข้าออก หรือถนนภายในได้แล้ว ตำแหน่งตัวบ้านก็จะถูกกำหนดได้ง่ายขึ้น

ความสัมพันธ์ของที่ดินกับประโยชน์ใช้สอยของบ้าน จากที่ได้กล่าวแล้วว่า ในการจัดวางตำแหน่งตัวบ้านนั้น ควรพยายามให้พื้นที่เปิดโล่งรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ต่อมาก็คือ ต้องพิจารณาว่าจะจัดให้พื้นที่โล่งนั้น อยู่ในส่วนใดของที่ดิน ข้อพิจารณาก็คือ ดูจากลักษณะการใช้สอยของบ้าน เช่น ถ้าบ้านมี เฉลียง ส่วนรับแขกอยู่ในส่วนหน้าของตัวบ้าน พื้นที่เปิดโล่งของ บ้านก็ควรอยู่ทางด้านหน้าของตัวบ้าน เพื่อที่จะสามารถจัดสวน ปลูกต้นไม้ ในส่วนของพื้นที่เปิดโล่งนั้นได้ หรือถ้ามีส่วนของ ห้องอาหารทางด้านข้าง ส่วนพักผ่อนอยู่ทางด้านหลัง และมี เฉลียงหลังบ้าน ประกอบกับกิจกรรมของครอบครัวมักอยู่ใน บริเวณดังกล่าว ดังนั้นส่วนของพื้นที่เปิด โล่ง ก็ควรที่จะอยู่ทาง ด้านข้างค่อนไปทางด้านหลังของตัวบ้าน เป็นต้น ทิศทางแดด, ลม, ฝน

เรื่องของทิศทางแสงแดด ลม และฝน เป็นสิ่งสำคัญอีก ประการหนึ่งที่ต้องพิจารณา ทั้งนี้เพราะประเทศไทยเราเป็น ประเทศที่ได้รับอิทธิพลเรื่องดินฟ้าอากาศมาก ถ้าไม่คำนึงถึงเรื่อง เหล่านี้ เมื่อปลูกสร้างบ้านไปแล้ว อาจเกิดปัญหาภายหลังได้ และ เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถที่จะควบคุมให้เป็นไปตามต้องการได้ ในการปลูกสร้างบ้าน ทิศทางของแดด ลม และฝน จะมี ความสำคัญทั้งในด้านการจัดประโยชน์ใช้สอยภายในบ้าน และ การจัดวางตำแหน่งตัวบ้านดังได้กล่าวไปแล้ว ในที่นี้จะได้กล่าวถึง เฉพาะหัวข้อของความสำคัญกับการจัดประโยชน์ใช้สอย ลักษณะของตัวอาคารที่ดีควรจะมีการถ่ายเทอากาศที่ดี ตลอดทั้งบ้าน แต่บางครั้งก็มีข้อจำกัดหลายประการ เช่น ขนาด ของที่ดิน ลักษณะรูปทรงของอาคาร อย่างไรก็ตาม ควรที่จะให้มี การถ่ายเทของอากาศมากที่สุด ดังนั้น ก่อนที่จะเลือกลักษณะของ บ้าน จึงควรที่จะได้พิจารณาถึงเรื่องนี้เสียก่อน

แสงแดดในประเทศไทย จะมีการเดินทางของดวง อาทิตย์ จากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตกในลักษณะอ้อมไปทาง ทิศใต้ แดดจะแรงในช่วงบ่าย ดังนั้น บริเวณที่ไม่ต้องการให้รับ ความร้อนมาก เช่น ห้องนอนจึงไม่ควรอยู่ในตำแหน่งทางทิศ ตะวันตก หรือตะวันตกเฉียงใต้ แต่ถ้าจำเป็นจะต้องจัดวางใน ตำแหน่งที่รับแดด ก็ควรจะให้อาคารมีส่วนป้องกันแสงแดด เช่น ชายคายื่นยาวให้ร่มเงา หรือการปลูกต้นไม้ช่วยบัง เป็นต้น

ที่ดิน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

• ราคาค่าก่อสร้างอย่าลืมคิดค่าถมดินหรือค่ารื้อถอน (ถ้ามี) บางทีที่ดินที่เราซื้อมาจะเป็นแปลงเปล่า ๆ ที่ยังไม่ได้ ถมหรือเป็นแบบท้องคันนาหรือบ่อน้ำ จึงจะต้องทำการปรับ หน้าดินด้วยการถม แล้วบดเกลี่ยให้แน่นและเรียบพร้อมที่จะ ก่อสร้างบ้านได้ เจ้าของอาจเตรียมวงเงินไว้จำกัดเพราะพูดกันถึง แต่เรื่องบ้าน จึงลืมเตรียมเงินในส่วนของดินที่จะถม บางที ที่ดินบางแห่งอาจมีสิ่งก่อสร้างเดิมอยู่ก็จะต้องเตรียมเงินไว้สำหรับ การรื้อถอนด้วยเช่นกัน

• การเลือกซื้อที่ดิน

  • ก่อนซื้อควรตรวจสอบดูก่อนว่ามีการเวนคืนจากทางราชการหรือไม่?
  • ที่ดินเดิมเคยเป็นสระน้ำหรือถูกขุดหน้าดินเอาไปใช้หรือไม่เพราะดินที่ถมลงไปใหม่นั้นจะต้องใช้เวลานานเป็นปีกว่าเนื้อดินจะแน่นและไม่ทรุดตัว?
  • ก่อนปลูกบ้านควรตรวจดูที่ดินว่ามีต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ถูกตัดจนเหลือแต่ต่อใต้ดินรวมถึงรากแก้วขนาดใหญ่หรือเปล่าเพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นบ่อเกิดของปลวกที่จะมากัดกินบ้านเราในภายหลัง?
  • ถ้าไม่จำเป็นอย่าเลือกพื้นที่ดินที่เป็นชายธง?
  • สภาพแวดล้อมโดยรอบที่ดินเป็นเช่นไร เช่น โรงงานโรงพยาบาล หรือวัด?
  • การเลือกที่ดินแถบใกล้ชายทะเล? เช่นแถวสมุทรปราการ สมุทรสาคร ควรคำนึงถึงความชุ่มน้ำของเนื้อดินอันจะมีผลต่อการเลื่อนไหลของเนื้อดินข้างใต้ หรือดินทรุด จะทำให้ต้องใช้เข็มที่ตอกเป็นฐานรากมากกว่าปกติ และมีขนาดใหญ่กว่าบ้านโดยทั่วไป

• ในที่ดิน 1 แปลงจะมีหน่วยราชการใดมาเกี่ยวข้องบ้าง?

  • กรมที่ดินหรือที่ทำการเขต เพื่อสอบถามโฉนด, ขนาดที่แท้จริงของที่ดินและเจ้าของที่ดินเดิม?
  • กรุงเทพมหานครหรือกรมโยธาธิการ เพื่อสอบถามเขตห้ามก่อสร้าง, ZONE พักอาศัย, การตัดถนน?
  • การทางพิเศษ เพื่อสอบถามแนวห้ามก่อสร้างจากแนวของทางด่วน?
  • กรมทางหลวง เพื่อสอบถามแนวห้ามก่อสร้างจากแนวถนนหลวงหรือเรื่องการตัดถนน?
  • การไฟฟ้าฝ่ายผลิตหรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเพื่อสอบถามแนวสายไฟฟ้าแรงสูงขนานผ่าน?
  • กรมการบินพาณิชย์ เพื่อสอบถาม? สิ่งก่อสร้างไปบังคลื่นวิทยุ (ส่วนใหญ่จะเป็นอาคารสูงที่เกิน 15เมตรขึ้นไป)

• หลักในการปรับที่ดิน ขุด-ถม ที่ดินก่อนการก่อสร้างบ้านจะต้องมีการปรับโดยการถมและขุดหรือ บางทีอาจจะใช้ทั้งการถมและการขุดไปด้วยกัน เช่น การขุดเพื่อ ทำสระน้ำ, สระว่ายน้ำ แล้วนำดินที่เหลือจากการขุดไปถมในส่วน ที่จะทำการก่อสร้างบ้านให้สูงขึ้นเป็นเนิน เป็นต้น

  • การถม? (เพื่อการสร้างบ้าน)

เพื่อปรับความสูงของดินในพื้นที่ก่อสร้างให้สูงขึ้น อาจสูง เท่ากับระดับถนนภายนอกหรือสูงกว่าระดับถนน 0.50 เมตร หรือ 1 เมตร ก็ได้ ทั้งนี้เพื่อความโดดเด่นของตัวบ้านหรือเพื่อ หนีน้ำท่วม

  • การขุด? (เพื่อการสร้างบ้าน)

ถ้ามีการขุดระดับต่ำกว่า 2.50 เมตร เพื่อทำห้องใต้ดิน , ทำสระว่ายน้ำ หรือถังเก็บน้ำใต้ดิน จะใช้วิธีตอกเข็มไม้ยาวตลอด แนวการขุดเป็นพืดเพื่อกันดินถล่ม หรือขุดดินปรับเป็นแนว เอียง ถ้าดินมีความเหนียวพอ ก็ไม่ต้องใช้เข็มไม้ตอก

ถ้ามีการขุดระดับลึกไม่เกิน 5.00 เมตร สำหรับการ สร้างบ้านแล้วถือว่ามีน้อยมากที่จะขุดลึกลงไปขนาดนั้น เพราะจะ แพงเกินไปและไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้แผ่นเหล็ก (SHEET PILE) ตอกเป็นแนวกันดินถล่ม และใช้เครื่องตอกที่เป็นเครื่องกล ซึ่งมีราคาแพงมาก

ฐานราก[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

1. รั้วหรือกำแพง ที่มีความยาวมาก ๆ ฐานรากควรมีการเบรกไม่ให้ไหลไป ตามดินทุก ๆ ช่อง 6.00 หรือ 8.00 เมตร โดยการทำฐานราก เป็นแนวขวาง ยาวเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่กว่าฐานรากแบบ ปกติทั่วไปครึ่งหนึ่ง การทำลักษณะนี้จะทำให้การบิดของรั้วหรือ กำแพงลดลงหรือไม่มีเลย

2. ฐานรากตีนเป็ด เป็นการทำงานแบบเดียวกับการเบรกฐานราก แต่เป็น การใช้พยุงไม่ให้รั้วหรือกำแพงล้มใช้สำหรับกรณีที่แนวเขตที่ดิน ชนกับที่ดินคนอื่นหรือถนนสาธารณะ และไม่สามารถจะยื่น ฐานรากเข้าไปในเขตที่ดินของผู้อื่นได้

3. เข็มเจาะ ปัจจุบันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะนามาใช้กับบ้าน เนื่องจากเทคนิคและวิธีการไม่ยุ่งยากมากและราคาก็ไม่แพงดังที่ คิด เราใช้เข็มเจาะเมื่อมีความจำเป็นจะต้องตอกเข็มใกล้ ๆ กับ บ้านของคนอื่น เช่น ห่าง 0.80 เมตร โดยไม่อยากให้บ้าน ข้างเคียงมีปัญหาแตกร้าว ทรุด หรือซอยที่เข้าบ้านของเรามีขนาด แคบมากไม่สามารถจะขนส่งเข็มต้นยาว ๆ มาตอกได้ จึงจำเป็น จะต้องใช้เข็มเจาะหลักการของเข็มเจาะก็คือใช้การขุดดินผ่านท่อ เหล็กกลมกลวงขนาดยาวประมาณ 3 เมตร โดยที่ปลายนิ้ว 2 ข้าง เป็นเกลียวหมุนต่อเนื่องลงไปในดิน ถ้าต้องการเข็มลึก 24 เมตร ก็ตอกท่อเหล็กกลมลงไปทีละอัน แล้วขุดดินขึ้นมาจนตอกลงไป ครบ 8 ท่อนแล้วจึงผูกเหล็กตามสเปคหย่อนลงไปในท่อเท คอนกรีตตามส่วนแล้วอัดด้วยลมอีกครั้งหนึ่งจากนั้นจึงค่อย ๆ ดึง ท่อเหล็กขึ้นมาช้า ๆ ทีละท่อนจนหมด แล้วจึงปิดปากหลุมรอ จนกว่าปูนแห้งก็เป็นอันเสร็จพิธี จะเห็นได้ว่าความสะเทือนที่ เกิดขึ้นรอบ ๆ เข็มเจาะนั้นน้อยกว่าระบบการใช้เข็มตอกลงไป ต่อ กันเป็นท่อน ๆ จนกว่าจะครบเป็นไหน ๆ

4. เข็มกด เป็นการลดความสะเทือนในการตอกเข็มอีกวิธีหนึ่งและไม่ ค่อยยุ่งยากใช้กับโครงสร้างที่ไม่ใหญ่โตหรือรับน้ำหนักมากนัก เช่น โรงรถ กำแพงรั้ว ห้องครัวชั้นเดียว หรืองานเร่งด่วนที่ไม่ ต้องการตั้งปั้นจั่น เข็มกดเป็นวิธีการที่ใช้รถแม็คโคร ดึงเสาเข็ม ขนาดเล็กยาวต้นละ 6 เมตร มากดโดยใช้แขนเหล็กของรถแม็ค โครกดลงไป ซึ่งจะไม่มีความสะเทือนกับรอบ ๆ ข้าง วิธีนี้สะดวก และรวดเร็วแต่ให้ระวังแนวเสาเข็มต้องตั้งให้ตรงแล้วจึงกด ไม่เช่นนั้นเสาจะเบี้ยวหรือหัก ทำให้รับน้ำหนักไม่ดีเท่าที่ควร

5. เสาเข็มอย่าตอกชิดกันเกินไป จะทำให้เสาเข็มไม่มีความฝืดหรือรับน้ำหนักโครงสร้างได้ ไม่เต็มที่ เนื่องจากมีเนื้อดินอยู่รอบ ๆ เสาเข็มน้อยเกินไป บาง คนนึกว่าการตอกเสาเข็มเสริมลงไปมาก ๆ จะทำให้รับแรงได้มาก ขึ้น แต่คิดผิดถนัด ดังนั้นในการตอกเข็มทุก ๆ ครั้งจึงควรมีระยะ ที่ห่างกันพอสมควร คือไม่น้อยกว่า 2 เท่าของเส้นผ่าศูนย์กลาง ของเข็ม

พื้น[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

1. ก่อนการเทพื้นคอนกรีตที่ติดกับดินต้องฉีดกันปลวก ทุกครั้ง เราสามารถเรียกพนักงานกำจัดปลวกมาดำเนินการกำจัด ปลวกและป้องกันเอาไว้ก่อนทุก ๆ ครั้งที่มีการเทพื้นในส่วนของ ชั้นที่ติดกับพื้นดินเพื่อให้แน่ใจและการป้องกันอย่างได้ผล บางที บางแห่งพนักงานอาจจะฝังท่อเป็นแนวใต้พื้นคอนกรีตแล้วโผล่ ท่อขึ้นมาเหนือพื้น เพื่อจะได้เติมน้ำยากันปลวกได้เมื่อถึงคราว จำเป็น

2. ไม้แบบสำหรับใช้หล่อพื้นชั้นล่าง จะสังเกตได้ว่าพื้นชั้นที่ติดกับดินถ้าเราตั้งไม้แบบแล้วเท คอนกรีตทับลงไปเราไม่สามารถจะเอาไม้แบบออกมาได้ นั่นเป็น สาเหตุอันหนึ่งที่ทำให้เกิดปลวกมากัดกินไม้แบบและลุกลามตาม รอยแยกหรือรูของพื้นขึ้นมากัดกินตู้ โต๊ะ เตียง เป็นรายต่อไป ดังนั้นวิธีที่จะแก้ไขได้ก็คือ

ถ้าพื้นชั้นที่ติดดินยกระดับ 1.20 เมตร หรือเกินกว่านั้น การใช้ทรายที่จะถมจะมีปริมาณมากเกินไปก็เปลี่ยนมาใช้ไม้แบบ ได้ เพราะหลังจากการเทพื้นคอนกรีตเรียบร้อยแล้วเราสามารถจะ มุดเข้าไปใต้พื้นที่เหลือช่องว่างระหว่างดินกับคาน (ความลึกของ คานบ้านทั่วไปประมาณ 0.50 เมตร) เพื่อนำไม้แบบออกมาได้

3. ช่องว่างระหว่างพื้นดินกับคานชั้นล่าง พื้นชั้นล่างที่ยกสูงมาก ๆ จะมีช่องว่างระหว่างคานกับ พื้นดิน ถ้าเราจะก่อกำแพงในส่วนนี้ แล้วไม่ให้ร้าวหรือมีการทรุด ตัวของกำแพง จำเป็นจะต้องหล่อคานในแนวของพื้นดินเพื่อ รองรับกำแพงตัวนี้

  • หล่อในที่กับพื้นสำเร็จรูป?

พื้นหล่อในที่ คือ การเทคอนกรีตโดยทั่วไป แต่ต้องตั้ง ไม้แบบ ผูกเหล็กแล้วจึงเทคอนกรีต ในการเทต้องตั้งไม้แบบ สำหรับคานและพื้นแล้วเทคอนกรีตพร้อมกันเลย เมื่อคอนกรีต แข็งตัวแล้ว จึงทำการบ่มโดยใช้น้ำฉีด 3-5 วัน ต่อจากนั้นก็ทิ้ง คอนกรีตไว้ในแบบจนครบอายุ 14 วัน แล้วจึงทำการถอดไม้แบบ การทำวิธีนี้มีขั้นตอนมากและใช้เวลาจนเสร็จพิธีการนาน พอสมควรอีกทั้งค่าใช้จ่ายยังมากกว่าอีกด้วย พื้นสำเร็จรูป เป็นการผลิตขึ้นมาเพื่อความสะดวกและ รวดเร็วประหยัดค่าใช้จ่าย และเหมาะกับการก่อสร้างในสภาวะ ปัจจุบัน ซึ่งมีความแข็งแรงมั่นคงตามสภาพการใช้สอยต่าง ๆ กัน ในปัจจุบันพื้นสำเร็จรูปมีให้เลือกใช้หลายแบบ แต่แบบ ที่นิยมกันมากที่สุดคือ ระบบคานตัวที วิธีการก่อสร้างก็คือ ขั้น แรก ต้องหล่อคานบ้านขึ้นมาก่อน แล้วจึงนำพื้นระบบนี้มาวาง โดยวางคานตัวที และทำไม้ค้ำยันเป็นช่วง ๆ จากนั้นวางบล็อก คอนกรีตในระหว่างคานทีนั้นผูกเหล็ก หรือเหล็กตะแกรง สำเร็จรูป (วายเมด) แล้วเทคอนกรีตทับหน้าบ่มคอนกรีตอีก 3-5 วัน ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนของการทำพื้น

  • เมื่อไรถึงจะปรับพื้นที่ปูด้วยบล็อกคอนกรีต?

ถนน ลานหน้าบ้าน หรือโรงจอดรถ บางคนนิยมใช้ ก้อนบล็อกตัวหนอนคอนกรีต เพราะว่ามีความสวยงาม สีสันสดใส ทำง่ายและราคาไม่แพง หลังจากนั้นประมาณ 1 ปี จะเห็นได้ว่า ในส่วนที่รถวิ่งผ่านหรือคนเดินมาก ๆ จะเกิดการยุบตัว บล็อกตัว หนอนก็จะกระโดกกระเดก เนื่องจากพื้นดินและทรายที่อยู่ ด้านล่างมีการปรับตัวไม่เท่ากัน จึงควรทำการปรับระดับพื้นทราย ที่รองรับใหม่หลังจากใช้พื้นนี้มาแล้วประมาณ 1-2 ปี เพราะ หลังจากนี้ไปแล้วเชื่อว่า การทรุดตัวของดินและทรายจะลดน้อยลง และแน่นขึ้น บล็อกตัวหนอนก็จะใช้ได้ไปอีกหลายปี

  1. ปัญหาตรงรอยต่อระหว่างพื้นปูวัสดุ? ที่แตกต่างกันภายในห้องเดียวกัน
    1. ถ้าพื้นหินอ่อนมาชนกับพื้นปาร์เกต์ ต้องเตรียมพื้นในส่วนที่เป็นปาร์เกต์ให้สูงกว่าหินอ่อนประมาณ 3 เซนติเมตร
    2. ถ้าพื้นหินอ่อนมาชนกับพรม ต้องเตรียมพื้นในส่วนของพรมให้สูงกว่าประมาณ 3 เซนติเมตร แล้วคั่นด้วยไม้แผ่นคั่นกลางเพื่อความสวยงามและป้องกันการบิ่นของหินอ่อน
    3. ถ้าพื้นกระเบื้องมาชนกับพื้นปาร์เกต์ ต้องเตรียมพื้นในส่วนของปาร์เกต์ให้สูงกว่าประมาณ 1 เซนติเมตร
    4. ถ้าเป็นไปได้ควรพยายามหลีกเลี่ยงหรือใช้วิธีการเล่นSTEP (มากกว่า 10 เซนติเมตรขึ้นไป)
  • อย่ายกพื้นให้สูงขึ้นโดยเทคอนกรีตเพิ่ม!?

การปรับพื้นคอนกรีตเดิมเพื่อให้สูงขึ้น กรุณาอย่าเท คอนกรีตเพิ่มลงไปโดยเด็ดขาด เพราะในความหนาที่เพิ่มขึ้น 10 เซนติเมตร จะมีน้ำหนักถึง 240 กิโลกรัม/ตารางเมตร อันจะมี ผลต่อพื้นเดิมและคานอาจพังลงมาได้โดยง่าย หากจำเป็นจะต้องเสริมระดับจริง ๆ ขอให้ใช้วัสดุที่เบา ๆ เช่น ไม้ หรืออิฐมอญ รองพื้นก่อนเทคอนกรีตเสริม หรือวิธีที่ดี ที่สุดคือ ปรึกษาสถาปนิกหรือวิศวกร

  • วัสดุปูพื้นโดยทั่วไป?

1. พื้นไม้จริง มีราคาแพงมาก โดยเฉพาะขนาดของแผ่น ที่ใหญ่และชนิดของไม้ การจะวางพื้นชนิดนี้จะต้องตั้งตงและ คานเสียก่อน ปัจจุบันนิยมใช้พื้นไม้ที่มีขนาดเล็กลง เพื่อความ ประหยัดและปูบนพื้นที่เป็นคอนกรีต โดยมีการวางไม้ระแนง เป็นแนวก่อนการปูพื้นไม้ ราคาพื้นไม้แบบนี้จึงไม่แพง แต่ให้ ความรู้สึกอบอุ่น เหมาะกับบ้านอยู่อาศัยทั่วไป

2. พื้นปาร์เกต์ เป็นชิ้นไม้เล็ก ๆ มีทั้งที่เป็นแบบเข้า ลิ้นและไม่เข้าลิ้น นิยมปูบนพื้นคอนกรีต ราคาจะถูกกว่าพื้นไม้ ธรรมดา สามารถออกแบบลวดลายบนพื้นได้หลายแบบ เหมาะ สำหรับห้องทั่ว ๆ ไปภายในบ้านยกเว้นห้องน้ำ

3. กระเบื้องเคลือบหรือกระเบื้องเซรามิกเป็นแผ่น สำเร็จรูปมีหลายขนาดและหลายสี ตามแต่วัตถุประสงค์ที่จะ นำไปใช้ ราคาจะมีตั้งแต่ถูกจนถึงแพงมาก บางทีแพงกว่าพื้นไม้ เสียอีก นิยมปูบนพื้นคอนกรีตเช่นกัน กรรมวิธีการปูไม่ยากและ ไม่วุ่นวาย เหมาะสำหรับห้องครัว ห้องน้ำ ชานระเบียง หรือ ห้องรับแขกก็พอได้

4. หินอ่อนหรือหินแกรนิต เป็นวัสดุที่มีความคงทน และนิยมใช้กันมาก เนื่องจากดูหรูและทำความสะอาดง่าย และ ราคาเริ่มจะใกล้เคียงกับวัสดุปูอื่น ๆ ในปัจจุบัน เหมาะสำหรับ ห้องรับแขก ห้องทานอาหาร และห้องน้ำ

5. พรม ให้ความรู้สึกดูหรูหรา อบอุ่น และนุ่มนวล เหมาะแก่การเดินเท้าเปล่าและการพักผ่อน พรมมีทั้งพรมทอ และพรมแผ่นการเลือกใช้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ เช่น ห้องนอน อยากได้เป็นพรมชั้นเดียวกันทั้งผืนก็ใช้พรมทอ เป็นต้น ราคา ของพรมในปัจจุบันนั้นก็ไม่แพงมากอย่างที่คิด แต่ก็ให้หมั่น ดูแลความสะอาดและดูดฝุ่นให้บ่อย ๆ การปูพรมจะปูบนพื้น คอนกรีตที่เรียบเสมอ อาจมียางปูรองอีกแผ่นเพื่อความนิ่มนวล ของพรมเวลาเดิน เหมาะสำหรับห้องนอนอ ห้องดูทีวี หรือใช้ เป็นบางส่วนสำหรับห้องรับแขก

ก่อนการปูพื้นไม้ควรเตรียมอะไร? กรรมวิธีในการปูพื้นไม้ให้ถูกต้องในขณะที่เทพื้น คอนกรีต ควรฝังไม้ระแนงตลอดแนวที่จะปูสูงกว่าผิวคอนกรีต ประมาณ 2 เซนติเมตร ปรับระดับไม้ระแนงให้เสมอกันตลอด ทั้งสอง จากนั้นรอจนพื้นคอนกรีตแห้งแล้วจึงเริ่มทำการปูแผ่น ไม้ การทำเช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้ไม้ระแนงมีความยืดหยุ่นและโก่งงอ หลังจากอัดพื้นไม้เข้าลิ้นไปแล้ว

ก่อนการปูพื้นปาร์เกต์ควรเตรียมอะไร? การเตรียมพื้นคอนกรีตก่อนการปูปาร์เกต์ต้องทำให้ดี ที่สุด ถ้าพื้นคอนกรีตเดิมที่เทไปแล้วไม่เรียบเสมอกันตลอดทั้ง ห้อง จำเป็นจะต้องปรับพื้นด้วยปูนทรายอีกครั้งจนเห็นว่าเรียบ เสมอกัน หลังจากนั้นต้องทิ้งพื้นไว้ให้แห้งสนิท ถ้าเป็นพื้นชั้น ล่างควรทำกันซึมไว้ด้วยก็จะดี หลังจากนั้นจึงเริ่มทำการปูปาร์เกต์ กาวที่ใช้จะต้องดี และต้องไม่อัดแผ่นปาร์เกต์จนแน่นเกินไป ควรเผื่อช่องสำหรับไม้ขยายตัวตามริมขอบกำแพงทุก ๆ ด้าน เพื่อ ป้องกันไม่ให้ปาร์เกต์โก่งงอหรือระเบิดได้ หลังจากปูแล้วควรทิ้ง เอาไว้นาน ๆ จนเห็นว่ากาวแห้งสนิทแล้ว จึงเริ่มทำการขัดพื้น ต่อไป

อย่าปูหินอ่อนตากแดด! พื้นนอกบ้านหรือชานบ้านที่นิยมปูหินอ่อนในส่วนของ พื้นที่โดนแดดอยู่ตลอดเวลา ผิวและสีจะเหลืองจะเห็นได้ชัด ต่างกันส่วนที่ไม่โดนแดดทำให้เกิดความกระดำกระด่างบนพื้นหิน อ่อนไม่สวยงาม พื้นไม้ที่โดนน้ำขังหรือท่วม! อย่าพยายามงัดไม้ออกมาตากแดดโดยทันทีหลังจากน้ำลด แล้วเพราะไม้จะบิดงอและแตกได้โดยง่าย จึงควรปล่อยทิ้งไว้จน พื้นไม้แห้งตามธรรมชาติไปเอง แล้วจึงค่อยถอดเปลี่ยนใน ภายหลัง

ผนัง[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

ทำไม? ต้องมีเส้นเซาะร่องบนผนังภายนอกอาคาร ผนังปูนฉาบภายนอกอาคารหลายแห่ง มีการเดินเส้น เซาะร่องเป็นเส้นตั้งบ้าง นอกบ้างนั้น นอกจากจะเป็นการ ตกแต่งผนังให้เกิดความงามแล้ว ยังเป็นการแก้ไขปัญหาการ แตกร้าวของผนังปูนฉาบที่เป็นพื้นที่กว้าง ๆ โดยเฉพาะตามแนว เสาและคาน จะเป็นการลบแรงเฉือนระหว่างโครงสร้างหลักกับ แนวผนัง สำหรับวิธีการทำเส้นเซาะร่องนี้ มีด้วยกันหลายแบบ เช่น การใช้ไม้แบบตีติดกันกับผนังปูนฉาบ เพื่อให้เกิดเป็นร่อง เหลี่ยม การใช้เหล็กเส้นขีดลงบนปูนฉาบที่ยังไม่แห้ง (วิธีนี้ดู เป็นที่นิยมสำหรับช่างรับเหมาที่ไม่ประณีต) และปัจจุบันยังมี การผลิตเส้นเซาะร่องสำเร็จรูปทำจากพีวีซี ให้เลือกใช้เพิ่มอีกอย่าง หนึ่ง

การทำผนังก่ออิฐ 2 ชั้น ต้องระวังเรื่องใด? มีบางครั้งที่เราออกแบบผนังก่ออิฐ 2 ชั้นซ้อนกัน เนื่องจากเหตุผลทางด้านความงามและความสะดวกำหรับการจัด เฟอร์นิเจอร์ภายในแต่ก็ต้องพึงระวังในเรื่องการแตกร้าวของผนัง ไว้ด้วย เพราะช่องว่างระหว่างกลางนี้จะเป็นตัวดูดความชื้นจากอิฐ และอิฐก็จะไปดูดความชื้นมาจากปูนฉาบอีกที ทำให้ผนังเกิดการ แตกร้าวได้ วิธีแก้ง่าย ๆ คือควรเทคอนกรีตลงในช่องว่างนี้ให้เต็ม จะลดความชื้นภายในได้อีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเผื่อการรับ น้ำหนักของคานไว้ด้วย

ที่ว่าให้แช่อิฐก่อนจะนำมาก่อกำแพงนั้น เขาทำเพื่ออะไร? เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า ธรรมชาติของอิฐนั้นเป็นวัสดุที่ดูดซับ น้ำ ดังนั้นเพื่อไม่ให้อิฐมีการดูดซับน้ำจากปูนฉาบและทำให้ปูน ฉาบแห้งเร็วเกินไป (เป็นผลให้กำแพงแตกร้าว) เราจึงควรแช่อิฐ ที่จะใช้ก่อลงในน้ำทุกก้อน แล้วจึงนำมาก่อกำแพงในขณะที่อิฐ ยังเปียกอยู่

ตาข่ายกรงนก ใช้ในงานก่อสร้างอย่างไร? สำหรับงานก่อสร้างผนังปูนนั้น หากมีตาข่ายกรงนกขึง บนกำแพงอิฐก่อนที่ฉาบปูน จะทำให้เนื้อปูนจับและยึดติดกัน อย่างแน่นหนายิ่งขึ้นผนังปูนก็จะไม่แตกร้าวง่าย ๆ

พบสีบนผนังอาคารเกิดขึ้นราหรือไม่ก็หลุดร่อน เนื่องจากสาเหตุใด? คงเป็นเพราะเตรียมผิวพื้นไม่ดี ได้แก่ พื้นผิวปูนฉาบที่ ยังไม่แห้งสนิทมีสภาพเป็นกรด ด่าง หรือพื้นผิวเก่าที่มีความ สกปรก มีฝุ่นเกาะ ดังนั้นหากต้องการทาสีผนังเก่าควรทำการลอก ผิวเดิมออกเสียก่อน แล้วทำความสะอาดผนัง ต่อไปก็เป็นขั้นตอน การทาสี ซึ่งต้องทาให้ครบจำนวนครั้ง โดยทาสีรองพื้นเสียก่อน ในขั้นแรก

การเสียบเหล็ก เพื่อป้องกันผนังแตกร้าว? ทุกครั้งที่ก่อกำแพงอิฐ เราควรเสียบเหล็กเส้นให้ยื่น ออกมาจากเสาโครงสร้างประมาณ 30 เซนติเมตร แทรกในผนัง ก่ออิฐทุก ๆ ความสูง 30 เซนติเมตร เหล็กเส้นเหล่านี้จะเป็นตัว ยึดระหว่างเสากับอิฐให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น เป็นการป้องกันการ แตกร้าวของผนังอีกทางหนึ่ง

• วิธีการทดสอบรอยร้าวบนกำแพงอย่างง่าย ๆ

รอยร้าวบนกำแพง เรามีวิธีการทดสอบรอยร้าวเหล่านี้ ว่า เกิดจากสาเหตุใด (อย่างง่าย ๆ) โดยดูจากขนาดของรอยร้าว แล้วใช้ วัสดุดังต่อไปนี้ วัดขนาดดู:-

  1. ใช้กระดาษสอดได้ แสดงว่า เป็นรอยร้าวธรรมดาทั่ว ๆไป ซึ่งเกิดจากปูนฉาบ
  2. ใช้เหล็กฟุตที่เป็นโลหะสอดได้ รอยนี้มีความลึกมากกว่าชนิดแรกบางที่ลึกถึงอิฐที่ก่อหรือร้าวในแนวเดียวกัน ทั้ง 2 ด้านสาเหตุยังคงเป็นเรื่องของปูนฉาบอยู่ โดยอาจมาจากการก่อกำแพง2 ชั้น หรือมีความชื้นตรงช่องว่างภายในกำแพง
  3. ใช้ไม้บรรทัดไม้สอดได้ แสดงว่าอาจจะร้าวเนื่องจากโครงสร้างอาคารถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ให้ลองสังเกตร้อยร้าวว่า วิ่งไปที่จุดใดถ้าวิ่งเข้าหาเสากับพื้น แสดงว่าเสาเข็มที่ตอกไว้ไม่ได้ขนาดเอียงหรือหัก แต่ถ้าวิ่งเข้าหาเสากับคานชั้นบนแสดงว่าเหล็กที่ยึดระหว่างหัวเสากับคานไม่ได้ขนาดหรือไม่ได้มีการยึดอย่างถูกวิธี

• การเลือกสีสำหรับผนังภายนอก

นอกจากเราจะคำนึงถึงความสวยงาม ความชอบของแต่ละ บุคคลที่เป็นเจ้าของบ้าน การเลือกสีทาภายนอกอาคาร ยังคง คำนึงถึงความสามารถในการสะท้อนแสงอีกด้วย จะสังเกตว่า บ้านเรือนในประเทศแถบที่มีอากาศหนาว มักจะทาสีภายนอก ด้วยสีโทนเข้ม เนื่องจากสีโทนเข้มจะดูดความร้อนเอาไว้ ทำให้ ภายในบ้านอบอุ่นยิ่งขึ้น แต่สำหรับบ้านเมืองเรา อุณหภูมิ ภายนอกสูง อากาศร้อนจัด หากไม่จำเป็นแนะนำให้ใช้สีโทน อ่อน เช่น สีขาว สีครีม สีน้ำตาลอ่อน สำหรับผนังภายนอก เพราะโทนสีเหล่านี้จะมีความสามารถในการสะท้อนแสงได้สูงทำ ให้ไม่มีความร้อนสะสมอยู่ภายในบ้าน ผนังภายนอกก็จะไม่ แตกร้าวได้ง่ายอีกทั้งยังเป็นการประหยัดค่าไฟฟ้าสำหรับพัดลงหรือ เครื่องปรับอากาศอีกด้วย

ขอบผนังปูนบริเวณรอบวงกบประตู-หน้าต่าง มักจะมีรอยร้าวเนื่องจากอะไร? สาเหตุหลัก ๆ เนื่องจากขาดเสาเอ็นและทับหลัง รอบช่อง เปิดทำให้กำแพงถ่ายน้ำหนักลงบนประตู-หน้าต่าง โดยตรงเป็น ผลให้เกิดการแตกร้าว เสาเอ็นและทับหลังนี้ยังช่วยในการยืดและ หดตัวของวงกบประตู-หน้าต่าง ไม่ให้ไปกระทบผนังปูนฉาบจน เกิดการแตกร้าวได้อีกด้วย ส่วนการหล่อทับหลังที่ถูกวิธีนั้นควรหล่อ จากเสาถึงเสา และควรจะหล่อเมื่อก่ออิฐไปได้ทุก ๆ 1 ใน 3 ของ กำแพงนั้น ๆ ที่สำคัญไม่ควรก่ออิฐในขณะที่ทับหลังยังไม่แห้ง สนิท

บันได[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

  • ไม่ควรทำประตูชิดกับบันได

ประตูที่เปิดออกแล้วลงสู่บันไดเลย โดยไม่มีระยะสำหรับ พักเท้าเสียก่อนนั้น จะเป็นอันตรายมากในกรณีที่คนหนึ่งกำลัง เดินขึ้นและอีกคนกำลังเปิดประตูสวนออกมา บานประตูก็จะ กระแทกคนข้างล่างให้ตกบันไดได้ ทางที่ดีควรเผื่อระยะชานพัก จากปลายบันไดขั้นสุดท้ายกับประตูให้กว้างพอ (อย่างน้อย ประมาณ 1.50 เมตร)

  • จมูกบันไดสำคัญไฉน

เวลาเราก้าวเดินขึ้นบันไดทีละขั้นนั้น หากลูกนอน บันไดไม่ได้เผื่อระยะสำหรับจมูกบันไดให้ส้นเท้าได้ถ่ายน้ำหนัก ลงและยันน้ำหนักตัวให้ก้าวขึ้น จะทำให้ต้องเขย่งเท้าเดิน จน อาจปวดนิ้วเท้าและข้อเท้าโดยไม่รู้ตัว หรือถ้าหากก้าวเท้าโดยทิ้ง น้ำหนักตัวได้ไม่เต็มที่ อาจทำให้หงายหลังพลัดตกบันไดได้ระยะ จมูกบันไดที่พอควรนั้นก็ประมาณ 2.50 เซนติเมตร (1”) ซึ่ง รวมกับระยะลูกนอนจะประมาณ 27.50 เซนติเมตร

  • การเผื่อความหนาของวัสดุปูพื้นชั้นล่างกับบันไดขั้นสุดท้าย

หลังจากที่เราได้เลือกวัสดุสำหรับปูพื้นห้อง และพื้น บันไดเรียบร้อยแล้วในการเ ตรียมโครงสร้างพื้นหรือปรั บ TOPPING ของระดับพื้นก่อนการปูวัสดุนั้น อย่าลืมคำนึงถึงความ หนาของวัสดุปูพื้น ซึ่งมีระยะต่างกันแล้วแต่ชนิดของวัสดุไม่ว่าจะ เป็น หินอ่อน กระเบื้องโมเสก ปาร์เกต์ หรือปูพรม เพราะความ หนาที่ต่างกันนี้จะทำให้ระยะลูกตั้งบันไดขั้นสุดท้ายสูงหรือเตีย ผิดปกติทำให้เราเมื่อยขาเวลาก้าวขึ้น-ลงบันได

  • ข้อดีของบ้านที่เล่นระดับโดยใช้ชานพักบันไดเป็นตัวเชื่อม

ปัจจุบันอาคารจำพวกทาวน์เฮ้าส์หรือตึกแถว นิยมสร้าง กันให้เล่นระดับโดยใช้ชานพักบันไดเป็นตัวเชื่อม ทำให้ลด ระยะทางในการเดินขึ้นและลง และไม่รู้สึกเมื่อยขาเวลาเปลี่ยน ระดับเพราะจะมีระยะให้พักเท้ามากขึ้นและเปลี่ยนมุมมองอยู่ เสมอเมื่อเปรียบเทียบกับการเดินขึ้นลงตลอดทั้งชั้น

  • ที่ว่างใต้ชานพักบันได

สำหรับการออกแบบบันไดนั้น ถ้าเรายกชานพักบันไดให้ สูงขึ้นอีกจะได้ที่ว่างสำหรับประโยชน์อื่น ๆ อีก เช่น ทำเป็น ห้องน้ำหรือห้องเก็บของโดยต้องเผื่อความสูงของห้องใต้บันไดให้ เพียงพอ

  • ขนาดลูกตั้ง-ลูกนอนสำหรับบ้านพักอาศัย

ลูกตั้งบันไดที่สูงเกินไป จะทำให้เมื่อยขาเวลาที่คุณเดิน ขึ้น-ลง ยิ่งถ้าเป็นบ้านของคุณเอง ทั้งชีวิตคุณจะเมื่อขาโดยไม่รู้ สาเหตุ ส่วนถ้าหากลูกนอนออกแบบไว้น้อยเกินไป ก็จะทำให้ต้อง เกร็งเวลาเดินจนปวดนิ้วเท้าโดยไม่รู้ตัวอีกเช่นกัน ฉะนั้นขนาด ของลูกตั้งและลูกนอนที่พอเหมาะพอเจาะจะประมาณ 17.50 เซนติเมตรและ 27.50 เซนติเมตร ตามลำดับ

  • ตำแหน่งของราวจับบันได

ราวจับบันไดควรอยู่ทางขวามือ หรือมือที่ถนัดที่สุด ในทางขึ้น เพื่อให้รั้งตัวเวลาเดินขึ้น ส่วนขาลงอยู่ฝั่งไหนก็ได้ เพราะแค่ใช้จับ (ไม่ต้องออกแรง) และความสูงของราวจับควรจะ ประมาณ 80-85 เซนติเมตร

  • บันไดคอนกรีตที่เตรียมปูแผ่นไม้

บางบ้านไม่ได้มีการเตรียมการสำหรับการปูแผ่นไม้บน บันไดคอนกรีตทำให้การยึดระหว่างไม้กับคอนกรีตไม่แน่นหนา ดังนั้นในการเทคอนกรีตเพื่อหล่อบันไดทุกครั้งจึงควรฝังพุกไม้ บนลูกนอน ขั้นละสองตัวตลอดแนวของบันไดทุกขั้น เพื่อใช้ยึด แผ่นไม้ให้แน่นหนา

ห้องน้ำ[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

  • การรั่วซึมของท่อน้ำเกิดจากอะไร

อีกปัญหาหนึ่งของการรั่วซึมบริเวณท่อน้ำ ทำให้น้ำหยด ลงบนฝ้าเพดานชั้นล่าง นาน ๆ เข้าฝ้าเพดานก็จะเปื่อยหรือไม่ก็ ขึ้นราต้องถอดซ่อมกันวุ่นวาย การป้องกันแต่เนิ่น ๆ นั้นทำได้ โดยการออกแบบให้ท่อมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างพอที่จะ ระบายน้ำและมีการลาดเอียง (Slope) ที่พอเหมาะซึ่งจะประมาณ 1 : 50 อีกทั้งต้องระวังอย่าให้มีการใช้ข้อต่อหรือส่วนหักงอของท่อ มากเกินไป

  • เลือกซื้อโถส้วมอย่างไรไม่ให้ผิดพลาด

โถส้วมแต่ละชนิดแต่ละยี่ห้อนั้นมีตำแหน่งท่อระบายน้ำ และตำแหน่งต่อท่อน้ำดีต่างกัน ดังนั้นเราจึงควรกำหนดรุ่นยี่ห้อ ของสุขภัณฑ์เสียก่อนที่จะลงมือเทพื้นคอนกรีต เพื่อจะได้เตรียม เว้นตำแหน่งท่อไว้ได้ทุกจุด ไม่ต้องมาคอยเจาะพื้นคอนกรีตกัน ภายหลังซึ่งจะยุ่งยากและอาจเสี่ยงต่อการรั่วซึมของพื้นห้องน้ำ

  • พฤติกรรมการใช้อ่างล้างหน้าที่ต่างกัน

โดยทั่วไปผู้ชายจะชอบอ่างล้างหน้าที่มีขนาดใหญ่ กว้าง ๆ ดูแข็งแรงเวลาใช้จะสังเกตเห็นว่าน้ำจะเปียกเต็มไปหมด ส่วน ผู้หญิงมักจะใช้เวลาอยู่กับอ่างล้างหน้านานกว่าผู้ชายเนื่องจากความ รักสวยรักงาม อ่างล้างหน้าที่เธอเลือกจึงเป็นแบบอ่อนนุ่ม โต้ง มน มีขนาดเล็กกว่าหรือเป็นชนิดฝังใต้เคาน์เตอร์ แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละบุคคลไป

  • เหตุใดกระจกเงาในห้องน้ำจึงลอกบ่อย

เนื่องจากความชื้นบนเคาน์เตอร์เข้าไปด้านหลังของ กระจกที่ฉาบปรอทอยู่ทำให้แผ่นปรอทลอกหลุด วิธีป้องกันก็คือ ติดตั้งกระจกให้ขอบล่างสุดพ้นจากเคาน์เตอร์อย่างน้อยประมาณ 10 เซนติเมตร และถ้าเป็นไปได้ในกรณีที่เป็นกระจกติดตายกับ ผนัง ควรมีวัสดุคั่นระหว่างกระจกเงากับผนังห้องน้ำเพื่อไม่ให้ ความชื้นเข้าสู่ด้านหลังกระจกเงาได้โดยตรง

  • ระวังการรั่วซึมตรงบริเวณรอยต่อระหว่างอาบน้ำกับผนัง

ในกรณีที่ติดตั้งอ่างอาบน้ำไว้ชิดกับผนัง ตรงแนวชน ระหว่างอ่างกับผนังจะต้องยาแนวด้วยปูนขาว หรือไม่ก็เลือก กระเบื้องที่เป็นตัวลบมุมมาปิดเพื่อป้องกันน้ำขังหรือซึม ลงสู่พื้น ใต้อ่างอาบน้ำและถ้าหากมีระยะจากขอบอ่างถึงผนังมากพอสมควร ต้องให้มีการลาดเอียงของขอบล่างหรือสามารถระบายน้ำไปลงรู ระบายน้ำ

  • การเลือกอุปกรณ์ประกอบ (FITTING @ ACCESSORIES) ให้เข้ากันกับสุขภัณฑ์

ปัจจุบันกับสุขภัณฑ์ในห้องน้ำมีออกมาวางขายกัน มากมายหลายยี่ห้อหลายรุ่น การเลือกอุปกรณ์ประกอบจำพวกก๊อก น้ำ สายยาง ฝักบัว หรือสะดืออ่าง จำเป็นจะต้องดูขนาดของเกลียว หรือท่อที่จะประกอบเข้ากับสุขภัณฑ์ของเรา จึงขอแนะนำว่าให้ เลือกอุปกรณ์เหล่านี้ไปพร้อม ๆ กับสุขภัณฑ์เลยจะดีกว่า จะได้ไม่ มีปัญหาภายหลัง

  • อย่าลืมแยกส่วนเปียกกับส่วนแห้งภายในห้องน้ำ

การแบ่งเนื้อที่ใช้สอยภายในห้องน้ำ-ห้องส้วม แยกได้ เป็น 2 ส่วนด้วยกันคือ ส่วนเปียก ประกอบด้วยที่อาบน้ำ เช่น อ่างอาบน้ำ (Bath Tub) หรือห้องอาบน้ำ (Shower) ฝักบัว ระดับ พื้นของส่วนนี้ควรจะต่ำกว่าส่วนแห้งประมาณ 10 เซนติเมตร หรือมีขอบกั้นน้ำ และควรมีผ้าม่านกันน้ำกระเด็นด้วย บริเวณ ส่วนนี้จะอยู่ในสุดของห้องน้ำ ถัดออกมาจะเป็นส่วนแห้งซึ่งจะ ประกอบไปด้วยอ่างล้างหน้า โถส้วม ที่ปัสสาวะชาย-หญิง ส่วนนี้ จะเป็นส่วนแรกของทางเข้า เพราะส่วนนี้เป็นบริเวณที่ใช้ ประจำ จึงไม่ควรให้พื้นเปียก

  • ประตูห้องน้ำสำหรับแขกไม่ควรเป็นประตูบานเกล็ด

หากห้องน้ำสำหรับแขกอยู่ติดหรือใกล้กันกับบริเวณ รับแขก การทำประตูห้องน้ำเป็นบานเกล็ดอาจจะทำให้แขกของ ท่านไม่กล้าที่จะใช้หรือใช้ได้อย่างไม่เต็มที่เพราะรู้สึกถึงความไม่ เป็นส่วนตัวและการส่งเสียงหรือกลื่น ดังนั้น ถ้าห้องน้ำนี้สามารถ ระบายอากาศได้ทางอื่น (หรือระบายออกภายนอกโดยตรง) แนะนำว่าให้เลือกใช้ประตูบานทึบจะดีเสียกว่า

  • ประตูห้องน้ำอย่าเปิดเข้าสู่ห้องครัว

เนื่องจากในห้องน้ำ-ห้องส้วมนี้มี Gas สะสมอยู่ ซึ่งหาก ประตูห้องน้ำเปิดเข้าสู่ห้องครัวโดยตรงหรือใกล้กันมาก อาจทำให้ เกิดติดไฟขณะทำครัว ไฟอาจไหม้บ้านได้ อีกอย่างคือ เทศบัญญัติ เกี่ยวกับการสร้างบ้านก็กำหนดไว้อย่างนั้นเช่นกัน

  • ระวังติดตั้งสายฉีดชำระผิดด้าน

สายฉีดชำระที่ติดอยู่ข้างโถส้วมนั้นโดยทั่วไปต้องติดอยู่ฝั่ง ที่มือถนัด (ขวามือ) เสมอ เพื่อสะดวกในการใช้งาน ซึ่งหากติดผิด ด้านกับมือที่ถนัดแล้ว จะทำให้สายยางไปไม่ถึงหรือไม่ก็ใช้งาน ลำบาก อย่างคาดไม่ถึงทีเดียว

  • การเตรียมพื้นที่ใต้ห้องน้ำ สำหรับติดตั้งท่อต่าง ๆ

หากเราไม่ได้เตรียมพื้นที่ใต้ฝ้าของห้องชั้นล่างห้องน้ำแล้ว ปัญหาที่ตามมาคือ หลังจากที่เราเดินท่อส้วม ท่อน้ำดี และท่อ น้ำทิ้ง ของสุขภัณฑ์ไปยังช่องท่อหลัก ซึ่งต้องเผื่อ Slope ให้น้ำ ไหลในท่อนั้นจะทำให้ระยะจากท้องพื้นถึงใต้ฝ้ามีมากขึ้น เป็น ผลให้ฝ้าเพดานชั้นล่างเตี้ยลงกว่าปกติ หรือถ้าหากเราทำ Slope ของท่อน้ำน้อยเกินไป เพื่อให้ห้องชั้นล่างมีฝ้าเพดานสูงขึ้น ก็จะ เกิดปัญหาการรั่วซึมและอาจตันของท่อน้ำ เนื่องจากน้ำในท่อ ไหลไม่สะดวก ปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าหากมีการออกแบบไว้ ล่วงหน้า โดยคำนึงถึงขนาดท่อ ตำแหน่ง และ Slope ของท่อ (ประมาณ 1 : 5) ให้สัมพันธ์กับระยะระหว่างสุขภัณฑ์กับช่องท่อ หลัก

  • ติดตั้งอ่างล้างหน้าบนเคาน์เตอร์ควรเว้นระยะจากขอบเท่าไหร่

เคยสังเกตไหมว่า บ่อยครั้งที่เสื้อเราเปียกเวลายืนล้างหน้า ตรงเคาน์เตอร์สาเหตุเนื่องจากติดตั้งอ่างล้างหน้าลึกเกินไป ทำให้ ต้องก้มตัวลงมากกว่าปกติจนเมื่อยหลังหรือไม่เสื้อก็จะเปียกเพราะ ตัวติดกับเคาน์เตอร์ที่เปียกน้ำ ระยะระหว่างขอบเคาน์เตอร์กับตัว อ่างล้างหน้าน่าจะประมาณ 5 เซนติเมตร

  • จะปูกระเบื้องห้องน้ำ เริ่มจากด้านไหนถึงจะดี

สำหรับการปูกระเบื้องโดยทั่วไปไม่ว่าจะเป็นพื้นหรือผนัง หากมีการออกแบบลาย (Pattern) ไว้แล้ว ก่อนปูควรจะเรียง กระเบื้องให้ได้ลายตามที่ต้องการเสียก่อนจึงจะลงมือปู เพื่อให้ลาย กระเบื้องได้เรียงต่อกันตามแบบ แต่ถ้าหากไม่ได้มีการเตรียม ออกแบบลายไว้เป็นพิเศษ หรือว่าปูกระเบื้องลายเรียบก็ควร คำนึงถึงเศษของกระเบื้องแผ่นสุดท้าย โดยจะเริ่มปูจากด้านหน้า ประตูไล่ไปให้กระเบื้องแผ่นสุดท้าย (ซึ่งอาจจะไม่เต็มแผ่น) ไป อยู่ใต้เคาน์เตอร์แทน แค่นี้ห้องน้ำก็จะดูเรียบร้อยขึ้น

  • ระวังพื้นรั่วซึมใต้อ่างอาบน้ำ

ปัญหาการรั่วซึมของพื้นใต้อ่างอาบน้ำนั้น ยากแก่การ แก้ไขจริง ๆ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะติดตั้งอ่างอาบน้ำ เราควรจะ เตรียมพื้นบริเวณใต้อ่างให้ลาดเอียงสู่ท่อระบายน้ำ (สำหรับอ่าง อาบน้ำชนิดลอยตัว) และในกรณีที่เป็นอ่างอาบน้ำแบบติดตายให้ ทำการขัดมันพื้นปูฉาบกันซึมเสียก่อน

  • เลือกเครื่องทำน้ำอุ่นก่อนการปูกระเบื้องห้องน้ำ

เครื่องทำน้ำอุ่นที่มีขายกันทั่วไป มีอยู่ด้วยกันหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีขนาดของท่อ ระยะของท่อ และระยะระหว่าง ท่อน้ำเย็นกับท่อน้ำร้อนแตกต่างกันออกไป ฉะนั้นหากเรามีการ เตรียมเครื่องทำน้ำอุ่นนี้ไว้ก่อนที่จะปูกระเบื้องบนผนังห้องน้ำ ก็จะทำให้ห้องน้ำแลดูเรียบร้อย

  • อย่าลืมเตรียมปลั๊กไฟสำหรับใกล้อ่างล้างหน้า

สมัยนี้มีเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิด ที่ใช้ประกอบบน เคาน์เตอร์ล้างหน้าโดยเฉพาะคุณผู้หญิง ที่เป่าผมคงขาดเสียมิได้ เพราะต้องใช้ร่วมกับกระจกส่องหน้า การเตรียมปลั๊กไฟเอาไว้ ล่วงหน้า สำหรับตรงเคาน์เตอร์จึงไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย แต่ที่ สำคัญน่าจะใช้ปลั๊กชนิดกันน้ำและระบบป้องกันไฟดูด (แบบมีฝา ปิด) จะปลอดภัยกว่า หรือยกให้สูงกว่าเคาน์เตอร์ประมาณ 30-50 เซนติเมตร

  • เลือกชนิดโถส้วมชักโครกพึงสังเกตระบบท่อน้ำที่ใช้

ระบบที่ว่านี้ได้แก่ระบบ FLUSH VALUE และระบบ FLUSH TANK ซึ่งต่างกันดังนี้ ระบบ FLUSH VALUE ใช้แรงดันของน้ำใน ท่อน้ำ มาชำระความสกปรกในโถส้วม ส่วนระบบ FLUSH TANK นั้น โถส้วมจะมีถังเก็บน้ำติดอยู่ด้านหลังเรียบร้อยแล้ว ทำให้เวลา กดปุ่มชักโครก น้ำในถังเก็บน้ำจะไหลลงมาทำความสะอาดโถส้วม ดังนั้นหากคิดจะติดตั้งระบบ FLUSH VALUE เราจะต้องเตรียม แรงดันในท่อน้ำให้เพียงพอสำหรับการกดชักโครกในแต่ละครั้ง เสียก่อน

ห้องนอน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

  • การเลือกเตียงนอนควรคำนึงถึง

การเลือกซื้อเตียงหรือออกแบบเตียงเอง ให้คำนึงถึงขนาด ของที่นอนเอาไว้ด้วยเพราะที่นอนที่มีขายทั่วไปในท้องตลาดมี ขนาดมาตรฐานดังนี้

ที่นอนเดี่ยว มีขนาด 0.80 x 2.00 เมตร 1.05 x 2.00 เมตร 1.20 x 2.00 เมตร ที่นอนคู่ มีขนาด 1.50 x 2.00 เมตร (QUEEN SIZE) 2.00 x 2.00 เมตร (KING SIZE) และมีความหนา 10 ซม. , 15 ซม. และ 20 ซม.

  • ระวังไฟไหม้ในตู้เสื้อผ้า

สำหรับตู้เสื้อผ้าที่มีหลอดไฟอยู่ภายในตู้ และเป็น หลอดไฟพิเศษชนิดเปิดปิดเองโดยอัตโนมัติ เวลาที่เปิดปิดตู้ เสื้อผ้านั้นต้องระวัง อย่าลืมเปิดตู้เสื้อผ้าทิ้งเอาไว้ เพราะหลอดไฟ จะเปิดตลอดเวลาและเสื้อผ้าในตู้นั้นเป็นเชื้อเพลิงได้อย่างดี และ ควรหมั่นตรวจเช็กหลอดไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าภายในสม่ำเสมอ

  • ราวแขวนผ้าในตู้ไม่ควรสูงเกิน 2.00 เมตร

การเลือกซื้อตู้เสื้อผ้าควรสังเกตว่าราวแขวนผ้าภายในตู้สูง เท่าไหร่ซึ่งปกติไม่ควรสูงเกิน 2.00 เมตร เพราะจะหยิบไม้ แขวนเสื้อผ้าลำบากหรือไม่ก็ต้องเขย่งเท้าเวลาเอื้อมไปหยิบ

  • อย่างวางให้ปลายเตียงหันหน้าไปทางหน้าต่าง หรือ AIRCONDITION

เพราะลมจากหน้าต่างหรือ AIR CONDITION จะพัดเข้า จมูกเวลานอน ทำให้รู้สึกคัดจมูกและถ้าต่อเนื่องกันหลาย ๆ วัน ก็ อาจทำให้เป็นหวัดได้

  • ขนาดความกว้างของห้องนอนไม่ควรน้อยกว่า 2.50 เมตร

ในการออกแบบห้องนอนนั้น สิ่งที่จำเป็นต้องคำนึงถึง อันดับแรก คือขนาดของเตียงซึ่งปกติแล้วจะต้องกว้างประมาณ 2.00 เมตร เพราะฉะนั้นหากห้องนอนของคุณมีความกว้างเพียง 2.50 เมตร จะทำให้เหลือทางเดินเพียง 50 เซนติเมตร ไม่ สะดวกในการเดินเข้าออก

  • เตียงนอนควรตั้งลอยอิสระจากผนัง 3 ด้าน

การเลือกที่ตั้งของเตียงนอน นอกจากจะดูทางสัญจรกับ ทิศทางลมแล้ว ยังไม่ควรวางเตียงให้ชิดกับผนังห้อง เพราะจะทำ ให้เปลี่ยนผ้าปูที่นอนลำบาก และเกิดซอกมุมอับเป็นที่เก็บของ ฝุ่นหรือสิ่งสกปรก

ห้องครัว[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

พื้นห้องครัวควรลดระดับลงประมาณ 10 เซนติเมตร เพื่อเวลาทำความสะอาดพื้น ล้างพื้นห้อง น้ำจะได้ไม่ไหลเข้าสู่ ห้องอื่น และที่สำคัญอีกอย่างคือ ควรให้พื้นมีความลาดเอียง เล็กน้อย (1 : 200) สำหรับการไหลของน้ำลงสู่ช่องระบายน้ำ

  • กระเบื้องปูพื้นสำหรับห้องครัว

พื้นห้องครัวโดยปกติขณะใช้งาน มักจะโดนน้ำหรือ น้ำมันกระเด็นลงสู่พื้น ทำให้พื้นลื่น ดังนั้น ในการเลือก กระเบื้องปูพื้น ควรเลือกปูให้มีการสลับกันระหว่างชนิดลื่นกับ ชนิดหยาบ

  • อย่าลืมใช้พัดลมดูดอากาศในห้องครัว

สำหรับบ้านจัดสรรหรือเทาน์เฮ้าส์ในปัจุบัน มีช่องเปิด ไม่เพียงพอที่จะระบายควันจากการหุงต้มอาหาร สิ่งที่ขาดเสียมิได้ คือ พัดลมดูดอากาศ เพื่อดูดควันและถ่ายเทอากาศภายในห้องให้ เร็วยิ่งขึ้น และควรเลือกติดตั้ง ตำแหน่งของพัดลมดูดอากาศให้ สามารถระบายอากาศสู่ภายนอกได้จริง ๆ ไม่ใช่ระบายออกปุ๊บก็เจอ กำแพงรั้ว เป็นอันว่าควันไม่ได้ไปไหน

  • ส่วนเก็บของใต้เคาน์เตอร์ ควรยกระดับจากพื้นห้องครัวปกติ

ส่วนเก็บของใต้น์เตอร์ทำอาหาร คุณอาจจะใช้เป็นตู้เตี้ย เก็บจานขาม หรือพวกเครื่องปรุงต่าง ๆ จำพวก น้ำปลา น้ำมัน พืช ผงชูรส ขวดซอส เป็นต้น บริเวณนี้จึงเสี่ยงสำหรับความชื้น ที่เกิดจากพื้นห้อง และที่สำคัญคือ เวลาทำความสะอาดพื้นที่มี การขัดถูและราดน้ำ อาจทำให้ส่วนเก็บของนี้เปียกน้ำได้ ฉะนั้น หากจะทำส่วนเก็บของไว้ใต้เคาน์เตอร์ควรจะยกระดับพื้นใต้ เคาน์เตอร์นั้นให้สูงกว่าปกติประมาณ 10 เซนติเมตร

  • ตำแหน่งของตู้เย็นที่น่าเป็นห่วง

สำหรับการเลือกตำแหน่งสำหรับตู้เย็นภายในห้องครัว สิ่ง ที่ต้องพิจารณานอกจากลำดับขั้นตอนของการใช้งานที่เรียงจาก ตู้เย็น อ่างล้าง แล้วจากอ่างล้าง เตา ที่เสิร์ฟอาหาร อีกสิ่งหนึ่งที่ น่าพิจารณาควบคู่ไปด้วยคือ ตำแหน่งที่สะดวกแก่การเปิด และ หยิบของออกจากตู้เย็น ตู้เย็นที่วางไว้ติดกับผนังด้านขวามือ จะไม่ สามารถเปิดออกได้เต็มที่ ( <90™) ทำให้ไม่สามารถดึงตะแกรงใน ตู้เย็นออกมาได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการวางตู้เย็นชิดกับมุมห้อง อย่าง น้อยน่าจะมีตู้สูงคั่นอยู่ก่อน ให้สามารถเปิดประตูออกได้มากกว่า 90 องศา

  • ควรเตรียมปลั๊กไฟ สำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้า

มีอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายชนิดที่จำเป็นต้องใช้ภายใน ห้องครัว เช่น หม้อหุงข้าว เตาไมโครเวฟ เครื่องปั่นอาหาร สิ่ง เหล่านี้ล้วนใช้บนเคาน์เตอร์ปรุงอาหารทั้งสิ้น การเตรียมปลั๊ก ไฟฟ้าให้พร้อมจึงเป็นสิ่งจำเป็นและตำแหน่งของปลั๊กไฟฟ้านี้ ต้องอยู่สูงจากท็อปเคาน์เตอร์อย่างน้อย 20 เซนติเมตร และควร หลีกเลี่ยงในบริเวณที่ต้องเปียกน้ำบ่อย ๆ ด้วย เช่น บริเวณอ่าง ล้างจาน

  • เตรียมท่อระบายน้ำที่พื้นห้องครัวเสียก่อน

พื้นห้องครัวเป็นส่วนที่มีการใช้งานค่อนข้างมาก การทำ ความสะอาดจึงเป็นสิ่งสำคัญ ควรเตรียมท่อระบายน้ำไว้ที่พื้น ห้องครัว เพื่อระบายน้ำที่ล้างพื้น และควรทำทางลาดเอียง (SLOPE) สำหรับให้น้ำไหลลงสู่ท่อระบายน้ำได้ (SLOPE ปกติ ประมาณ 1 : 200)

  • การทำตู้เก็บอาหารภายในห้องครัว

เป็นเรื่องจำเป็นที่ทุก ๆ ห้องครัวจะต้องมีตู้เก็บอาหาร เตรียมไว้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นตู้เตี้ยใต้เคาน์เตอร์หรือเป็นตู้แขวนก็ ตาม ควรใช้บานตู้ที่เป็นบานเกล็ดเพื่อระบายอากาศ และกรุมุ้ง ลวดด้านในอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันแมลงเข้าออก

  • ตู้ใต้อ่างล้างจาน

ในกรณีที่ทำตู้ลักษณะ BUILT-IN ติดกับตัวเคาน์เตอร์ล้าง จาน ซึ่งภายในตู้จะเป็นท่อน้ำดีและท่อน้ำเสียจากอ่างล้าง ส่วน กรองเศษอาหารจากการล้างจาน รวมทั้งใช้เก็บอุปกรณ์ทำความ สะอาด หรือภาชนะถังขยะการทำบานตู้เป็นบานเกล็ดจะช่วย ระบายกลิ่นและความอับชื้นภายในและควรมีการกรุมุ้งลวดกันแมลง อีกชั้นด้วย

  • ตำแหน่งของเตาหุงต้ม

เนื่องจากบริเวณรอบเตาหุงต้มอาหาร มักจะมีคราบ น้ำมันจากการใช้กระทะ รวมทั้งคราบเขม่าควันต่าง ๆ ตำแหน่ง ของเตาจึงควรอยู่ตรงส่วนที่เป็นผนังทึบและปูกระเบื้องเซรามิกต รงบริเวณนั้น เพื่อที่จะสามารถทำความสะอาด ล้างคราบเขม่า ควันเหล่านี้ได้ง่ายมากกว่าบริเวณหน้าต่างที่คราบมันจะเกาะ ติดตามมุ้งลวด หรือกระจกบานเกล็ด ซึ่งยากต่อการทำความสะอาด และแถมยังมีแมลงเข้ามารบกวนอีกด้วย

  • ทาสีน้ำมันบนผนังห้องครัว

ในกรณีที่ห้องครัวของบ้านท่าน มีการประดับกระเบื้องปู ผนังที่เป็นเซรามิก แต่ปูกระเบื้องไม่ถึงฝ้าเพดาน ผนังส่วนที่ เหลือ ควรจะทาสีน้ำมันแทนสีน้ำทาภายใน เนื่องจากสีน้ำมัน มีความคงทนกว่า และสามารถทำความสะอาดคราบเขม่า คราบ ควันที่มาจากการหุงต้มอาหารได้ดีกว่าสีน้ำธรรมดา

  • อย่าลืมตำแหน่งสำหรับเก็บถังแก๊ส

แน่นอนที่สุดว่า ที่เก็บถังแก๊สควรอยู่ใกล้กับเตา เพื่อจะได้ เปิดปิดหัวแก๊สสะดวก และควรมีวาล์วต่างหากอีกชุด เพื่อความ ปลอดภัย โดยปกติเราจะวางถังแก๊สไว้ใต้เคาน์เตอร์ ส่วนที่เป็น เตาหุงต้ม และอาจมีการทำบานหน้าต่างปิดเพื่อความสวยงาม ขอ เน้นอีกอย่างว่าหน้าต่างนี้ควรเป็นหน้าต่างบานเกล็ดสำหรับ ระบายอากาศและสามารถตรวจสอบได้เวลาที่มีแก๊สรั่ว ส่วนพื้นที่ วางถังแก๊ส น่าจะมีการยกระดับขึ้นประมาณ 10 เซนติเมตรเพื่อ กันไม่ให้ถังแก๊สเปียกน้ำจนขึ้นสนิม เวลาที่มีการทำความสะอาด พื้น

  • อย่าลืมหลอดไฟใต้ตู้แขวน

ควรเตรียมหลอดไฟซ่อนไว้ใต้ตู้แขวนด้วย เพราะเมื่อเรา เปิดไฟกลางห้องแล้ว แสงสว่างจะทำให้เกิดเงาจากตัวเราไปยังตู้ ทำให้มองไม่ค่อยเห็น หรือไม่ก็ตู้แขวนที่ยื่นออกมาเป็นตัวบัง แสงจากกลางห้องเสียเอง เราจึงต้องใช้ไฟใต้ตู้แขวนช่วย

ระเบียง, เฉลียง[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

  • ระวังราวกันตกเหล็กกับทะเล

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ไอทะเลนั้นทำให้เหล็กเป็น สนิมได้ง่ายฉะนั้นอาคารที่สร้างอยู่ริมทะเลหากมีการออกแบบราว กันตกโปร่งแล้วควรเลือกวัสดุอื่นที่ไม่ใช่เหล็กมาแทนจะดีกว่า เช่น STAINLESS 100% หรือไม้ เป็นต้น

  • ขอบปูนตรงราวกันตก

นอกจากจะมีเพื่อกันน้ำไมให้ไหลลงตามผนังจนเป็น คราบแล้วยังป้องกันมิให้พวกของเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือของเล่นลูกกลิ้ง ตกลงชั้นล่างขอบปูนกันตกนี้ควรให้มีการลาดเอียงเล็กน้อยโดยจะ ดึง SLOPE ให้เอียงเข้าด้านในของพื้นระเบียง เพื่อให้น้ำที่สาด เข้ามาไหลลงพื้นได้สะดวก

  • การใช้โซ่สำหรับระบายน้ำจากระเบียงหรือกันสาด

ในการระบายน้ำบางจุด นอกจากวิธีการต่อท่อระบายน้ำ ซ่อนในอาคารแล้ว อีกวิธีหนึ่งคือการระบายน้ำออกสู่ภายนอก โดยตรง ซึ่งทำให้น้ำไหลลงมาแรงและควบคุมไม่ได้ เป็นผลเสีย กับพื้นหญ้าหรือต้นไม้ข้างล่าง การใช้โซ่เป็นตัวนำทางน้ำลงมาจะ ทำให้น้ำไหลลงสู่จุดเดียว และเสียงก็ไม่ดังอีกด้วย

  • เวลาเทพื้นระเบียงควรเทพร้อม ๆ กับพื้นด้านใน

เป็นเรื่องการรั่วซึมของน้ำอีกเหมือนกัน เวลาเทพื้น โครงสร้างระหว่างพื้นระเบียงกับพื้นที่อยู่ภายในห้อง ถึงแม้ว่าจะ มีระดับต่างกันก็ตาม แต่ก็ควรเทพร้อมกันทีเดียวเพื่อให้เป็น โครงสร้างเดียวกัน (ไม่มีรอยต่อให้เกิดการรั่วซึมได้)

ประตู-หน้าต่าง[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

  • กันสาดสำหรับประตู-หน้าต่าง

บ้านสมัยใหม่ที่นิยมรูปแบบทางตะวันตก โดยออกแบบ ไม่มีกันสาดเหนือประตู-หน้าต่าง ฝนและแสงแดดซึ่งเป็นปัญหา ใหญ่ของบ้านเราจะสาดเข้าสู่ประตู-หน้าต่างได้โดยตรง มีผลให้ ประตู-หน้าต่างเหล่านั้นบิดงอ ถ้าเป็นไม้หรือถ้าเป็นอะลูมิเนียม แสงแดดก็จะกัดสีวงกบและเพิ่มอุณหภูมิภายในบ้าน การออกแบบ เพื่อหลีกเลี่ยงนั้นทำได้โดยร่นประตูและหน้าต่างให้ลึกเข้าไปใน ผนังประมาณ 0.60-0.80 เมตร หรือไม่ก็ยื่นกันสาด คสล. เหนือประตู-หน้าต่างนั้น แต่ถ้ายังอยากได้หน้าต่างเสมอกับผนัง อีก ก็ขอแนะนำให้เลือกเอาเฉพาะด้านของตัวบ้านที่ไม่ค่อยจะ ได้รับแสงแดดโดยตรง เช่น ด้านทิศเหนือ เป็นต้น

  • กระจกเจียรปรีคืออะไร

เป็นกระจกที่ขัดขอบด้านล่างให้ลาดเอียงลง โดยมากจะ ทำรอบทั้ง 4 ด้าน เพื่อความสวยงามเวลาที่แสงสะท้อนที่มุมจะ เกิดแสงหักเหเหมือนแก้วเจียระไน ราคาของกระจกเจียรปรีนี้จะ แพงกว่ากระจกธรรมดา และต้องระวังขอบแตกหรือบิ่นเวลาติดตั้ง เนื่องจากขอบกระจกที่เจียรแล้วจะบางมาก

  • ออกแบบหน้าต่างบานเกล็ดกระจก

ข้อที่ต้องคำนึงถึงมีอยู่ด้วยกัน 2 ข้อ คือ 1. ไม่ควรให้ หน้าต่างกว้างเกินไป เพราะอุปกรณ์ปรับมุมจะรับน้ำหนักกระจก ไม่ไหว ทำให้แอ่นหรือแตกหักได้ ดังนั้นขนาดความกว้างที่ เหมาะสมคือไม่ควรเกินกว่า 70 เซนติเมตร 2. คือ เรื่องความ หนาของกระจกที่จะใช้หากเป็นกระจกที่มีความหนามาก อุปกรณ์ปรับมุมก็จะรับน้ำหนักไม่ไหว หรือไม่ก็ยากที่หมุนเปิด ปิด หากเป็นกระจกที่บางเกินไป ก็จะแตกง่ายเวลาหมุนปรับ องศา สรุปว่าควรเลือกกระจกที่มีความหนาประมาณ 1/2 เซนติเมตร

  • ประตูที่เปิดสู่ด้านนอกอาคารต้องเปิดออกเสมอ

ประตูอาคารบ้านเรือนที่เป็นประตูเปิดออกสู่นอกอาคาร และมีฝนสาดถึง จะต้องเป็นประตูที่เปิดออก และบานประตู จะต้องอยู่ต่ำกว่าระดับพื้นภายในเสมอ โดยขาวงกบจะวางอยู่บน พื้นภายนอก ทั้งนี้เวลาฝนตก น้ำฝนที่สาดเข้ามาก็จะไหลลงตาม ด้านข้างประตู แต่ไม่สามารถเข้าสู่ภายในอาคารได้

  • ข้อควรระวังในการติดตั้งวงกบอะลูมิเนียม

การติดตั้งวงกบอะลูมิเนียมควรทำหลังจากที่ได้ฉาบผนัง ปูนเรียบร้อยแล้ว มิฉะนั้นน้ำปูนจะทำปฏิกิริยากับอะลูมิเนียม ทำให้เกิดเป็นคราบขุ่น ล้างไม่ออก ในกรณีที่การก่อสร้างเร่งด่วน ต้องฉาบปูนไปพร้อม ๆ กับการติดตั้งวงกบอะลูมิเนียม หรือติดตั้ง วงกบก่อน ก็ควรจะกันวงกบอะลูมิเนียมไว้ไม่ให้ถูกน้ำจากปูนฉาบ โดยวิธีการทาเคลือบวงกบด้วยครีมหรือวาสลินก่อน

  • ประตูห้องเก็บของควรเปิดออกด้านนอก

ประตูห้องเก็บของควรเปิดออกด้านนอกเพื่อให้มีพื้นที่ใน การเก็บของมากขึ้น เพราะหากประตูเปิดเข้าด้านในห้องอาจจะ ติดอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ฝังเก็บไว้ในห้อง เช่น ไม้กวาด ลังเก็บ ของหล่นลงมาขวางประตู จนประตูไม่สามารถจะเปิดเข้าไปได้ นั่นเอง

  • ประตูมุ้งลวด

การใช้ประตูมุ้งลวดติดกับประตูบานที่เปิดออกภาย นอกนั้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงหรือแมลงบินเข้ามารบกวนภายใน บ้าน และช่องมุ้งลวดยังปล่อยให้ลมพัดผ่านได้ประมาณ 60% แต่ อย่าลืมว่าการติดตั้งประตูมุ้งลวดต้องให้อยู่ด้านในบ้าน และประตู บ้านก็จะเปิดออกด้านนอกเสมอ ส่วนชนิดของประตูมุ้งลวดมีทั้ง แบบบานเปิดและแบบบานเลื่อน หากคิดจะติดตั้งประตูมุ้งลวด ชนิดบานเลื่อน ก็ให้ระวังแมลงหรือยุงจะเข้ามาระหว่างตัวบาน เลื่อนกับบานติดตาย

  • หน้าต่างบานเปิดควรสูงกว่าโต๊ะทำงานที่ติดหน้าต่างรวม 10 เซนติเมตร

โดยทั่วไปแล้วโต๊ะทำงานจะสูงกว่าพื้นประมาณ 80 เซนติเมตร หากเราวางหน้าต่างให้ขอบล่างสูงจากพื้นเท่ากันกับ ขอบโต๊ะหรือต่ำกว่าขอบโต๊ะก็จะเกิดปัญหา เช่น ลมจะพัดเอา กระดาษบนโต๊ะจนปลิวและบางทีหากขอบวงกบอยู่ต่ำกว่าขอบโต๊ะ เรายังไม่สามารถเอื้อมไปล็อกกลอนตัวล่างได้อีก ฉะนั้นทางที่ดีหาก คิดจะวางโต๊ะไว้ชิดกับหน้าต่างแล้ว ควรให้ขอบล่างสุดของหน้าต่าง สูงจากขอบโต๊ะทำงานประมาณ 10 เซนติเมตร

  • การเลือกตำแหน่งของประตูห้องนอน

จะวางตำแหน่งประตูเข้าห้องนอน ควรเผื่อระยะให้ เพียงพอสำหรับตู้เสื้อผ้าเอาไว้ด้วย คือ ระยะประมาณ 65 เซนติเมตร ไม่ควรวางประตูให้ชิดผนัง หรือเว้นระยะจากผนัง เพียง 20-30 เซนติเมตร จะทำให้บริเวณนี้เป็นซอกไม่สามารถ วางอะไรได้ เป็นที่กักเก็บฝุ่นหรือสิ่งสกปรก ซึ่งจะทำให้ทำความ สะอาดลำบาก

  • เรื่องน่าคำนึงถึงสำหรับช่องทางเข้า-ออกของลม

หากเราวางตำแหน่งช่องลมให้ตรงกันทั้ง 2 ด้าน ลมจะ พัดเข้าห้องและผ่านออกไปเลย แต่ถ้าเราเลื่อนช่องลมออกให้เบื้อง กับช่องลมเข้าลมที่พัดเข้ามาในห้องจะหมุนเวียนก่อนแล้วค่อย ผ่านออกไป ทำให้การระบายอากาศกระจายทั่วห้องกว่าแบบแรก แต่ที่สำคัญที่สุดถ้าไม่มีช่องให้ลมออกก็จะไม่มีลมพัดเข้ามา

  • ปัญหาของประตูบานเลื่อนสวนกัน

การทำประตูบานเลื่อนสวนกัน จะได้ประโยชน์ในแง่ ของความสวยงาม การเปิดช่องแสงให้แสงสว่างเข้ามาภายในห้อง มากขึ้น และยังเพิ่มมุมมองภายในห้องให้แลดูกว้างขึ้น แต่ก็น่าจะ ชั่งน้ำหนักดูกับข้อเสียของมันในเรื่องของการรับลมได้ไม่เต็มที่ คือสามารถเปิดรับลมได้เพียงด้านเดียว เรื่องของราคา (ซึ่งจะสูง กว่าปกติแน่นอน) เรื่องของความไม่แข็งแรง เนื่องจากน้ำหนัก ของกระจกกดลงบนพื้นมาก เวลาเลื่อนจะไม่สะดวกเท่ากับ หน้าต่างบานเลื่อน และหากคิดจะติดบานมุ้งลวดเพิ่มขึ้นอีก จะ ทำให้วงกบรวมทั้งหมดมีความหนาแน่นมากกว่าปกติ

ที่จอดรถ[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

  • ซื้อที่จอดรถแบบเครื่องกลสำหรับทาวน์เฮ้าส์

ทาวน์เฮ้าส์ ที่มีที่จอดรถไม่เพียงพอ จึงแก้ปัญหาโดย การใช้ที่จอดรถแบบเครื่องกล (ราคา 150,000) แต่พื้นเดิมไม่ได้ เผื่อการรับน้ำหนักของรถ 2 คันกับเครื่องกลอีก 1 ชุด ท้ายสุดพื้น พัง รถก็จะหล่นลงมากองรวมกันเป็นคันเดียว

  • โรงรถสำหรับบ้านเรา

บางบ้านที่นิยมออกแบบให้ทันสมัย ส่วนต่าง ๆ ได้รับ อิทธิพลจากตะวันตกรวมไปถึงโรงรถ ที่ทำในลักษณะปิดทึบ หา รู้ไม่ว่า ที่เขาทำกันในลักษณะนั้น เนื่องจากต้องป้องกันหิมะ และพายุแรง แต่สำหรับบ้านเราแนะนำให้ออกแบบสำหรับการ ระบายอากาศจะดีกว่า เพราะในโรงรถจะมีทั้งไอเสียจากรถยนต์ กลิ่นน้ำมันรวมทั้งความร้อนของเครื่องยนต์รูปแบบของโรงรถ น่าจะออกมาในลักษณะโปร่ง โล่ง เพียงแต่มีหลังคาเอาไว้กันแดด ฝน เท่านั้นก็พอ

  • ความกว้างที่จอดรถ 2.40 เมตร ไม่เพียงพอ

แม้ว่าตามกฎหมายจะกำหนดให้ใช้ขนาดของที่จอดรถ กว้าง 2.40 เมตรก็ตามแต่ ในการใช้งานจริงควรเผื่อไว้อีก 0.50 เมตร รวมเป็น 2.90 เมตรต่อคัน เผื่อระยะให้ประตูรถเปิดได้ และสะดวกสำหรับการทำความสะอาด เช่น เช็ดถูรอบข้างคันรถ หรือย้ายข้าวขงเข้า-ออกรถยนต์

  • หันท้ายรถเข้าจอดควรระวัง

ไม่ใช่ระวังท้ายรถจะเสยกำแพงบ้านหรอกครับ แต่ให้ระวัง ควันจากท่อไอเสียรถยนต์จะทำกำแพงบ้านดำต่างหาก วิธีแก้ไข ง่าย ๆ โดยการทาสีน้ำมันลงบนกำแพงบ้านส่วนที่เป็นที่จอดรถ สูงจากพื้นประมาณ 80 เซนติเมตร หรือไม่ก็ทำบล็อกต้นไม้กั้น ระหว่างกำแพงบ้านกับที่จอดรถ (หากมีพื้นที่พอ) ต้นไม้จะได้ ช่วยกรองฝุ่นควันจากท่อไปเสียไม่ให้เข้าบ้านได้โดยตรง

  • อย่าลืมติดตั้งก๊อกน้ำสำหรับที่จอดรถ

ที่จอดรถภายในบ้าน ควรติดตั้งก๊อกน้ำไว้สำหรับใช้ล้างรถ และทำความสะอาดพื้นลานจอดรถ โดยความสูงของก๊อกน้ำควรสูง จากพื้นประมาณ 0.40 เมตร เพื่อให้สามารถรองถังน้ำได้ และ ควรจะซ่อนให้พ้นทางรถจอด

  • เครื่องดับเพลิงในที่จอดรถ

เครื่องดับเพลิงในที่จอดรถ เป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดเสียมิได้ โดยทั่วไปนิยมเครื่องดับเพลิงชนิดถัง ควรติดตั้งในตำแหน่งที่ สังเกตได้ง่ายสามารถเข้าไปหยิบใช้งานได้สะดวก และหมั่นตรวจ เช็กเชื้อเพลิงภายในเครื่องดับเพลิงอยู่เสมอ (ตามเวลาที่ระบุบน ถัง)

  • เตรียมห้องเก็บเครื่องมือสำหรับที่จอดรถ

หากที่จอดรถมีบริเวณเหลือพอควรจะมีห้องเก็บอุปกรณ์ ซ่อม บำรุงรถยนต์เอาไว้เก็บอะไหล่รถ หรือเครื่องมือที่ใช้ทำความ สะอาดรถยนต์ อาจจะทำเป็นลักษณะของตู้เก็บของ ที่ใช้สอย เป็นชั้นๆ ก็ได้ และควรคำนึงถึงเรื่องการระบายอากาศและการ ป้องกันฝนเอาไว้ด้วย

  • ระวังหน้าต่างบานเปิดที่ติดกับที่จอดรถ

บ้านที่มีบริเวณน้อย บางทีผนังบ้านอยู่ติดกับที่จอดรถ แล้วเผอิญผนังนั้นมีช่องหน้าต่างบานเปิดอยู่ หากเปิดหน้าต่าง ออกมาในที่จอดรถก็จะทำให้ไม่สามารถเดินผ่านรอบตัวรถได้ การ ทำความสะอาดก็ลำบาก ฉะนั้นทางที่ดีหากจำเป็นต้องมีหน้าต่าง อยู่ติดกับที่จอดรถแล้ว ควรเปลี่ยนจากบานเปิดให้เป็นบาน เลื่อนเสียจะดีกว่า

  • ไม่ควรให้โรงจอดรถอยู่ทางทิศใต้ของบ้าน

โดยปกติแล้วลมจะพัดจากทิศใต้ไปจากทิศเหนือ ฉะนั้น การวางโรงจอดรถไว้ทางทิศใต้ของตัวบ้าน นอกจากจะเป็นตัวปิด กั้นทางลมไว้แล้ว ยังทำให้ลมพัดเอาฝุ่น ควัน ไอเสีย จากท่อไอ เสียรถยนต์ซึ่งประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ ก๊าซพิษ ต่าง ๆ เข้าสู่ตัวบ้านตลอดทั้งวัน เป็นผลเสียแก่สุขภาพของผู้อยู่ อาศัย

  • ควรทำผนังในด้านทิศตะวันตกของที่จอดรถ

ที่จอดรถภายนอกอาคารที่อยู่โล่ง ๆ หรือมีเพียงแต่หลังคา คลุมกันแดด บางครั้งน่าจะทำผนังในด้านทิศตะวันตกเอาไว้ด้วย เนื่องจากทิศตะวันตกแดดจะแรงมาก โดยเฉพาะในเวลาบ่าย การ ก่อผนังกันแดดทางทิศตะวันตก จึงเป็นการป้องกันไม่ให้สีของ รถยนต์ซีดเร็วจนเกินไป หรืออีกวิธีหนึ่งคือการปลูกต้นไม้สูง ชนิดที่สามารถให้ร่มเงาได้ หากไม่สามารถก่อผนังเพิ่มเติมในที่ จอดรถ

  • ไม่ควรปลูกกระเบื้องเซรามิก บนพื้นโรงจอดรถ

การใช้กระเบื้องเซรามิกกับพื้นโรงจอดรถไม่สมควรอย่างยิ่ง เนื่องจากกระเบื้องเซรามิกไม่ได้ผลิตมาสำหรับรับน้ำหนักมาก ๆ และยังมีความลื่นมันอีกต่างหาก จึงเสี่ยงต่อการหลุดล่อนได้ง่าย ใน กรณีที่ต้องรับน้ำหนักรถที่มีการเคลื่อนที่เข้าออกอยู่ตลอดเวลา

  • การติดตั้งปลั๊กไฟในโรงจอดรถ

ปลั๊กไฟเป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญมากในที่จอดรถ เพราะ ต้องใช้ประกอบกับเครื่องมือซ่อมบำรุงรถยนต์ต่าง ๆ รวมทั้ง เครื่องมือทำความสะอาด เช่น เครื่องดูดฝุ่น ใช้สำหรับทำความ สะอาดพื้นรถยนต์หรือเบาะนั่ง เป็นต้น การเตรียมปลั๊กไฟไว้ ควรจะติดตั้งให้สูงกว่าพื้นไม่น้อยกว่า 0.60 เมตร เผื่อการล้างพื้น และทางที่ดีควรจะเป็นปลั๊กไฟชนิดติดตามภายนอกอาคารและ กันน้ำได้ (ชนิดมีฝาปิด)

  • การทำพื้นลาดเอียง (SLOPE) บนพื้นที่จอดรถ

น่าพิจารณาทีเดียวสำหรับการทำ SLOPE บนพื้นที่จอด รถ พื้นที่จอดรถโดยทั่วไปก็มีขนาดใหญ่อยู่แล้ว การทำทาง ระบายน้ำและพื้นลาดเอียงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะน้ำที่ทำ ความสะอาด หรือน้ำจากเครื่องยนต์จะขังบนพื้นอันเป็นสาเหตุ ให้ล้อรถเสื่อมคุณภาพเร็ว แต่การทำพื้นลาดเอียงมากเกินไป ก็มี ข้อเสียอยู่เหมือนกัน คือ จะทำให้รถไหลเวลาจอด (หากลืมดึง เบรกมือไว้ หรือต้องมีพุกไม้ขั้นไว้ที่ล้อรถ) ฉะนั้น SLOPE ที่ พอเหมาะสำหรับการลาดเอียงควรจะประมาณ 1 : 200

  • ไฟกิ่งตามเสาในโรงจอดรถ

ในกรณีที่เจ้าของบ้านเปลี่ยนรถใหม่จากเดิมที่เป็นรถ เก๋ง เป็นรถที่มีความสูงมากขึ้น เช่น รถกระบะ รถตู้ หรือรถ ขับเคลื่อน 4 ล้อ มีผลทำให้รถเหล่านี้ชนถูกไฟกิ่ง ที่ติดตามเสา หรือข้างผนัง เวลาถอยรถเข้าจอด ฉะนั้นในการที่จะติดตั้งไฟกิ่ง ให้เผื่อความสูงนี้เอาไว้ด้วย เพราะไม่แน่ว่าในอนาคตคุณอาจ เปลี่ยนชนิดของรถที่ใช้ หรือเผื่อสำหรับรถของแขกที่มาเยี่ยมบ้าง ก็ได้ไม่เสียหาย

สวน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

คิดจะปลูกต้นไม้ไว้บนดาดฟ้า ควรคำนึงถึง?

1. การรับน้ำหนักของโครงสร้าง ควรเตรียมโครงสร้างไว้ให้ พอเพียงสำหรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของสวนลอยฟ้า (ROOF GARDEN) ซึ่งโดยปกติแล้วอาคารธรรมดาจะเตรียมโครงสร้างไว้รับ น้ำหนักประมาณ 200 – 400 กิโลกรัม/ตารางเมตร แต่หากเป็น สวนลอยฟ้า น่าจะเตรียมไว้ประมาณ 700 – 1,500 กิโลกรัม/ ตารางเมตร

2. ความลึกของดิน ความลึกของดินที่เพียงพอสำหรับการ ปลูกต้นไม้ขนาดเล็กไม่ควรต่ำกว่า 40 เซนติเมตร และ 1.20 เมตร สำหรับปลูกต้นไม้ใหญ่

3. ทางระบายน้ำ การเตรียมดินสำหรับปลูกต้นไม้ ควร เตรียมทางระบายน้ำเอาไว้ด้วย

4. น้ำสำหรับรดต้นไม้ หากเป็นดาดฟ้าบนตึกสูง ๆ การ เตรียมน้ำขึ้นไปรดต้นไม้ ก็จำเป็นต้องใช้เครื่อง PUMP หรือ TANK น้ำไว้ส่วนหนึ่งสำหรับรดต้นไม้

5. แรงลม เนื่องจากอยู่บนตึกสูง ๆ แน่นอนว่าจะต้องมี ลมแรงมาปะทะ ถ้าคิดจะปลูกต้นไม้ที่มีความสูงก็จำเป็นต้องทำ ค้ำยันเอาไว้ยึดลำต้น

6. การขนย้าย ควรวางแผนการขนย้ายให้ดี ไม่ว่าจะเป็น ดิน ต้นไม้หรืออุปกรณ์ทำสวนต่างๆ ซึ่งหากเป็นตึกที่ไม่มีลิฟต์ สำหรับขนย้ายข้าวของ ก็คงเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร

7. การดูแลรักษา ควรเตรียมการณ์ไว้สำหรับการดูแลรักษา สวนของคุณไม่ว่าจะเป็นการรดน้ำพรวนดิน ซึ่งต้องนึกด้วยว่าคุณ ต้องขึ้นมาดูแลรดน้ำเป็นประจำทุกวัน หรือถ้าเป็นสวนขนาด ใหญ่ คุณอาจจะติดสปริงเกิลสำหรับรดน้ำต้นไม้แบบอัตโนมัติ ก็ จะช่วยทุ่นแรงได้บ้าง

ปัญหาของการปลูกต้นไม้บนตึก?[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

การเปลี่ยนแปลงลักษณะการอยู่อาศัยในเมือง ในรูปของ ตึกสูง เช่น อพาร์ทเมนท์ หรือคอนโดมิเนียม ทำให้เราอยู่ ห่างไกลธรรมชาติมากยิ่งขึ้น วิธีหนึ่งที่เจ้าของห้องพักนิยมทำกัน คือ การปลูกต้นไม้ไว้ข้างตึก โดยจะเป็นลักษณะของกระบะต้นไม้ (FOWER BED) ที่เป็นโครงสร้างของอาคารอยู่แล้ว หรือทำการต่อ เติมจากเดิม ซึ่งการทำกระบะต้นไม้ข้างอาคารเช่นนี้ควรคำนึงถึง

1. ควรเตรียมน้ำสำหรับรดต้นไม้เอาไว้ หากเป็นพื้นที่ที่มี ขนาดใหญ่ก็ควรเตรียมก๊อกน้ำเอาไว้เสียเลย จะได้ไม่ต้องต่อสายยาง ออกมาจากห้องให้ลำบาก

2. ต้องเตรียมทางระบายน้ำ ซึ่งหากเป็นระเบียงนอก อาคาร อาจจะมีการเตรียมท่อระบายน้ำไว้แล้ว ควรสังเกตให้ฝาท่อ ระบายน้ำเป็นลักษณะกันเศษดินหรือเศษใบไม้ไว้ด้วย เพื่อจะได้ ไม่มีการอุดตัน

3. ระวังเรื่องน้ำจากการรดต้นไม้ จะไหลบนผนังอาคาร เพราะน้ำที่กระเด็นออกมาจากดิน จะติดเป็นคราบอยู่บนผนัง อาคารภายนอกทำความสะอาดไม่ได้

4. ความชื้นของกระบะต้นไม้ ถ้าเป็นผนังร่วมกันกับผนัง อาคารก็จะทำให้ผนังอาคารชื้น สีบนผนังก็จะลอกหรือไม่ก็ขึ้นรา ควรจะแยกผนังออกจากกัน หรือไม่ก็ควรจะขัดมัน ทำระบบกัน ซึมให้กับผนังด้านในของกระบะต้นไม้

5. การขนย้าย และการเปลี่ยนถ่ายดิน เวลาบำรุงรักษา ต้นไม้หากเป็นกระบะที่ยื่นออกมานอกตัวอาคารมากๆ ก็ต้องดูด้วย ว่าสามารถจะเอื้อมมือออกไป ดูแลรักษาได้หรือเปล่า

สนามหญ้าที่บ้านคุณมีทางระบายน้ำหรือเปล่า?

ไม่ว่าคุณจะทำสนามหญ้าหน้าบ้านเอาไว้ปลูกต้นไม้หรือ ทำสวนแบบญี่ปุ่น สิ่งที่ลืมเสียมิได้ คือ ทางระบายน้ำ ต้อง เตรียมทางระบายน้ำสำหรับน้ำฝนและน้ำรดต้นไม้ เพราะถ้าหาก การระบายน้ำไม่ดี ดินที่ไม่ดูดซับน้ำ น้ำก็จะขังอยู่ตรงรากของ ต้นไม้ ทำให้รากเน่า ต้นไม้ก็จะไม่เจริญงอกงาม ไม่มีดอกผลให้ ชื่นชม หรือไม่ก็อาจตายไปในที่สุด

การปลูกต้นไม้ชิดกับตัวบ้าน?

การปลูกต้นไม้ใหญ่ไว้ชิดกับตัวบ้าน จะต้องคำนึงถึงเรื่อง ดังต่อไปนี้

  1. รากของต้นไม้ใหญ่จะดันโครงสร้างใต้ดินของตัวบ้านอาจทำให้โครงสร้างแตกร้าวและพังทลายได้
  2. ต้นไม้ใหญ่อาจล้มทับตัวบ้านได้ หากอยู่ในทิศทางที่กระแสลมแรงควรเผือระยะห่างจากตัวบ้านเอาไว้สำหรับแนวต้นไม้ที่อาจล้มลงมาและควรตัดกิ่งไม้ที่แก่หรือใกล้จะหลุดร่วง เพราะอาจถูกลมพัดกิ่งไม้ใส่หน้าต่างบ้านได้
  3. หากต้นไม้ใหญ่ที่สมารถปีนป่ายได้ ระวังขโมย จะใช้เป็นเส้นทางโจรกรรมเข้าบ้านคุณทางระเบียงหรือหน้าต่าง

อย่าปลูกต้นไม้ติดกับผนังบ้าน?

หากคุณจะปลูกต้นไม้อยู่ชิดกับผนังบ้าน ให้ระวังน้ำที่รด น้ำต้นไม้เมื่อตกกระทบกับดินที่พื้น จะทำให้ดินกระเด็นใส่ผนัง บ้านภายนอกจนเปรอะเปื้อนตามขอบล่างของผนัง ฉะนั้นควร จะถอยระยะจากจุดที่เอาต้นไม้ลงประมาณ 0.40 เมตร และทำ เป็นบ่อกรวดขั้นเสียก่อน หรือหากอยู่ในช่วงก่อสร้าง ก็ควรให้ช่าง รับเหมา ทำขอบ คสล. เลยออกมาจากผนังบ้านราว ๆ 0.40 เมตร แล้วค่อยลงดินสำหรับปลูกต้นไม้

รั้ว[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

อย่าสร้างรั้วก่อนสร้างบ้าน? การสร้างรั้วเสียก่อนที่จะสร้างบ้าน มีข้อเสียอยู่หลาย ประการดังนี้

1. การขนย้ายวัสดุอุปกรณ์รวมถึงรถที่จะเข้ามาทำงานใน ที่ดินไม่สะดวก เช่น ช่องประตู อาจจะไม่กว้างพอสำหรับรถ แทรกเตอร์หรือรถตักดิน วงเลี้ยวของรถที่ขอเสาเข็มอาจจะไม่พอ จนก่อความเสียหายให้กับรั้วบ้านได้

2. รั้วบ้านอาจจะพังก่อน เนื่องจากโครงสร้างใต้ดินของรั้ว บ้านกับตัวบ้านแตกต่างกัน การตอกเสาเข็มสำหรับรั้วบ้านไม่ลึก เท่ากับของตัวบ้าน ดังนั้น เวลาที่ตอกเสาเข็มของตัวบ้าน ทำให้ โครงสร้างเสาเข็มของรั้วสะเทือน หรืออาจจะพังลงมาก่อนบ้านจะ สร้างเสร็จก็เป็นได้

การวางแนวรั้วหน้าบ้านกับรั้วข้างบ้าน แตกต่างกันอย่างไร? โดยทั่วไปรั้วข้างบ้านจะวางอยู่ในแนวกึ่งกลางระหว่าง ที่ดินของเรากับของเพื่อนบ้าน โดยใช้แนวแบ่งเขตที่ดินเป็น เกณฑ์ ทำให้รั้วนั้นอยู่ในเขตเราครึ่งหนึ่งและอยู่ในเขตเพื่อน บ้านอีกครั้งหนึ่ง (ในกรณีนี้อาจจะแบ่งกันจ่ายค่าก่อสร้างรั้วกัน คนละครึ่ง) ส่วนรั้วหน้าบ้านมักจะติดกับทางสาธารณะ การวาง แนวรั้วต้องวางให้ขอบรั้วด้านนอกอยู่ในเขตที่ดินของเรา โดยห้าม ไม่ให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งปลูกสร้างล้ำเข้าไปในที่สาธารณะเด็ดขาด

รั้วบ้านด้านในควรเดินขอบปูนโดยรอบ? ในกรณีที่รั้วบ้านด้านในอยู่ติดกับพื้นที่ที่เป็นสนาม หญ้า หรือสวนการเดินขอบปูนอยู่ติดกับโครงสร้างรั้วโดยยกขอบ พื้นให้ถอยจากริมสนามหญ้า ประมาณ 20 เซนติเมตร เพื่อให้ เครื่องตัดหญ้าสามารถเข้าไปถึงขอบด้านในสุดของสนาม ทำให้ สนามหญ้าเรียบร้อยขึ้น

รั้วที่มีความยาวมาก ๆ ควรขยายขนาดฐานรากในทุก ๆ ช่วง 6-8 เมตร? สำหรับรั้วบ้านที่มีความยาวมาก ๆ ความแข็งแรงขอบรั้วจะ น้อยลง ดังนั้น เวลาที่เตรียมโครงสร้างใต้ดินของรั้ว ควรจะ ปรึกษาวิศวกร เพื่อสำรวจที่ดินแนวรั้วก่อน

ไม่ควรก่อกำแพงชิดกับตัวบ้าน? ควรเว้นระยะระหว่างรั้วกำแพงกับตัวบ้าน อย่างน้อย ประมาณ 0.80 เมตร หากน้อยกว่านี้เราจะไม่สามารถเข้าไปทำ ความสะอาดได้ทำให้เกิดเป็นซอกมุมอับหรือสะสมสิ่งสกปรกได้

ระยะห่างของรั้วเหล็กโปร่งสำหรับบ้านที่เลี้ยงสุนัข? บางบ้านที่เลี้ยงสุนัข ไม่อยากให้สุนัขลอดรั้วหนีออกไป ข้างนอกจึงควรสร้างรั้วเหล็กโปร่งให้มีแนวเหล็กถี่ขึ้นโดยเฉพาะ ช่วงล่างของรั้ว ให้แต่ละช่วงเว้นช่องประมาณ 10 เซนติเมตร แต่ ถ้าเป็นลูกสุนัขก็ควรจะถี่กว่านี้

ประตูรั้วบ้านควรเปิดเข้าในบ้านอย่างเปิดออกถนนใหญ่? ประตูรั้วหน้าบ้านไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ควรเปิดเข้าในบ้าน เสมอ อย่าเปิดออกนอกถนนใหญ่ เพราะการเปิดเข้าทำให้เกิด ความรู้สึกเชื้อเชิญยินดีต้อนรับและที่สำคัญคือปลอดภัยกับรถบน ถนนที่วิ่งผ่านไปผ่านมาไม่ให้มาชนประตูของบ้านเรา

วิธีแก้รั้วบ้านที่อยู่ทาง 3 แพร่ง? ตำแหน่งบ้านตรงทาง 3 แพร่ง มักจะเกิดอันตราย เพราะมีถนนสายหลักพุ่งเข้าหา หากรถที่ขับเข้ามาเกิดเผลอหรือ เลี่ยงไม่ทันก็อาจพุ่งเข้าชนรั้วบ้านให้เกิดความเสียหายการทำให้รั้ว บ้านเด่นและสะดุดตาจึงเป็นสิ่งสำคัญ การใช้สีเป็นวิธีแก้อีกอย่าง หนึ่ง สีที่เด่นในเวลากลางคืน จะเป็นสีขาว หรือสีเหลือง

ประตูรั้วบ้านที่ใช้รีโมต? หากคุณใช้ระบบรีโมตคอนโทรลกับรั้วบ้าน ให้เปิด-ปิด ควรเตรียมไฟสำรองหรือกุญแจไขเปิดล็อกไว้ด้วย เผื่อในกรณีที่ ไฟดับ ไม่เช่นนั้นคุณและรถจะเข้าบ้านไม่ได้จนกว่าไฟฟ้าจะมา

การต่อเติมรั้วบ้าน? หากมีการต่อเติมขยายความยาวของรั้วบ้าน ต้องอย่าลืมว่า โครงสร้างรั้วเก่ากับรั้วใหม่แตกต่างกัน รั้วเก่าการทรุดของเข็มอยู่ตัว แล้วส่วนรั้วใหม่แม้ว่าจะตอกเสาเข็มให้ลึกเท่ากันก็ตาม แต่ก็ยังมี การทรุดตัวของเข็มอยู่ ดังนั้น อย่าทำโครงสร้างเชื่อมติดกัน ควร แยกโครงสร้างโดยเด็ดขาด

กำแพงหรือรั้วที่ติดถนนใหญ่และติดริมแม่น้ำ? เนื่องจากพื้นที่บริเวณถนนใหญ่หรือทางสาธารณะ มักจะมีการสัญจรของยานพาหนะค่อนข้างมาก การรับน้ำหนัก ของผิวจราจรจึงสูงกว่าปกติ ฉะนั้นหากเรามีรั้วบ้านอยู่ติดกับถนน ใหญ่ ต้องเพิ่มความยาวของเสาเข็มที่ตอกอีกประมาณ 1-2 เท่า เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับรั้วบ้าน และกันการสั่นสะเทือนจาก ผิวจราจร ส่วนรั้วที่ติดริมแม่น้ำก็เช่นกัน ควรจะเพิ่มขนาดความ ยาวของเสาเข็มอีกด้วย เพราะลักษณะของดินริมแม่น้ำมีความอ่อน ตัวและยุบตัวค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีคลื่นที่จะมากระทบเข้ากับ ฐานของกำแพงริมน้ำได้อีกด้วย

ควรยกขอบของบัวบนผนังกำแพงเพื่อกันความสกปรก? สำหรับกำแพงหรือรั้วบ้านที่มีลักษณะเป็นโครงสร้าง คสล. แล้วก่อผนังทึบควรมีการยกขอบปูนเป็นบัวเชิงผนังทั้ง 2 ด้านของกำแพง โดยให้สูงประมาณ 0.30-0.40 เมตร เนื่องจาก ขอบด้านล่างมักจะสกปรกง่ายและมีความชื้นจากพื้นดินทำให้ช่วง ล่างของผนังเก่าและสกปรกเร็วกว่าปกติ เกิดราหรือสีลอกหลุด การ ทำบัวเชิงผนังจึงเป็นการกั้นส่วนที่สกปรกให้จำกัดอยู่แต่เพียง ด้านล่างของผนัง และหากจะให้ดี ควรทาสีน้ำมันในช่วงล่างของ ผนังถึงขอบบัวไว้ด้วย หรือทำทรายล้างก็เป็นแนวความคิดที่ดี

รั้วด้านทิศใต้ควรให้มีลักษณะโปร่งรับลม? เนื่องจากลมประจำจะพัดจากทิศใต้ไปยังทิศเหนือ การ สร้างรั้วบ้านจึงต้องคำนึงถึงทิศทางลมนี้เอาไว้ด้วย การทำรั้วโปร่ง ในด้านทิศใต้ จะเป็นการเปิดรับลมให้พัดเข้าสู่บริเวณบ้านได้ อย่างสบาย โดยอาจจะเป็นรั้วเหล็กดัด หรือโครงเหล็กโปร่งก็ได้

ฝ้าเพดาน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

  • วางตำแหน่งโครงเคร่าฝ้าก่อนเจาะไฟดาวไลท์

ปัญหาที่เกิดขึ้นในการวางตำแหน่งของดาวไลท์ไม่ได้ใน ตำแหน่งที่ต้องการ เช่น ไม่อยู่กึ่งกลางบ้าง หรืออยู่ติดผนัง จนเกินไป อันเนื่องมาจากเมื่อเจาะฝ้าเพดานไปแล้วไปเจอกับ โครงเคร่าภายใน อาจจะเป็นอะลูมิเนียม หรือไม้ก็ตาม ไม่ สามารถจะเลื่อนโครงเคร่าเหล่านั้นได้ จึงจำเป็นต้องเลื่อนดวง โคมของไฟดาวไลท์เสียเอง ดังนั้น เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ซึ่ง กันและกัน เมื่อออกแบบ ตำแหน่งการวางไฟดาวไลท์แล้ว หลังจากนั้นจึงไปกำหนดแนวของโครงเคร่าในคราวต่อไป

  • การตีฝ้าไม้ระแนงเพื่อโชว์

ในท้องตลาดบ้านเราไม้ฝ้าถ้าคุณภาพดีลายสวยงาม จะมี ราคาแพงมากโดยเฉพาะในเรื่องของความยาวของแผ่นไม้ เมื่อเรา ต้องการจะโชว์ฝ้าในส่วนนี้ แต่ความยาวของไม้ฝ้าไม่อำนวยคือสั้น กว่าใน 1 ช่วงของแนวคาน จำเป็นจะต้องต่อไม้ออกไป วิธีนี้ถ้า เราต่อไม้ฝ้าออกไปทางด้านเดียวกันทั้งหมด เราจะสังเกตเห็น ความไม่เรียบร้อยอย่างชัดเจน ต่อให้ช่างทำสีตรงรอยต่อเนี้ยบ อย่างไร ต่อไปไม่นานรอยเหล่านี้ก็จะเห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ หมด ความสวยงาม ดังนั้น จึงควรต่อสลับแผ่นต่อแผ่นในด้านตรงกัน ข้าม ก็จะพรางรอยต่อไม่ให้เห็นชัดเจนเกินไปนั่นเอง

  • ฝ้าเพดานไม้ด้านนอกบิดงอเกิดจาก

มีสาเหตุใหญ่ ๆ อยู่ 3 ประการ คือ

  1. ใช้ไม้ที่มีคุณภาพไม่ค่อยดี สดเกินไป ไม่ได้ผ่านการทำให้แห้งและอบน้ำยามาก่อน
  2. ไม่ได้เว้นร่องให้อากาศบนฝ้าเพดานระบายออกมาได้พอเพียงความร้อนจึงสะสมไว้มากไม้ฝ้าจึงบิดงอ
  3. โคร่งเคร่าไม้ไม่แข็งแรงหรือตีห่างจนเกินไป
  • ก่อนติดบังฝ้าเพดาน ทำอะไรก่อน

ไม่ว่าจะเป็นฝ้าทีบาร์หรือฝ้ายิปซัมฉาบเรียบ โครงเคร่า โดยรอบผนังห้องหรือในส่วนที่เราจะติดบัวฝ้าเพดาน ต้องเป็น โครงเคร่าไม้ เพื่อเอาไว้สำหรับยึดติดบัวฝ้าเพดานให้แข็งแรงด้วย ตะปูเพื่อที่จะไม่บิดงอในภายหลัง

  • ตาข่ายสีฟ้ากันหนูกันแมลง

เมื่อเรามองขึ้นไปบนฝ้าไม้ระแนงเว้นร่องระบายอากาศ รอบบ้าน เราจะเห็นตาข่ายสีฟ้าอยู่ภายใน ไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมต้องสีฟ้า เจ้าของบ้านจึงไม่ค่อยชอบพาลจะไม่ใส่เอาเสียด้วย ต้องค่อย ๆ บอกเหตุบอกผลจึงยอมเชื่อ แต่ถ้าจะลงทุนครั้งเดียว และอยู่ได้นานหลายปี แต่ราคาแพงขึ้นและมีความสวยงามก็คงต้อง ใช้ตาข่ายกันยุงหรือมุ้งลวดในปัจจุบันที่มีสีดำ และมีความเหนียว ต่อการกัดเจาะของพวกหนูและแมลง เป็นวัสดุที่ทำมาจากไน ล่อนนำมาติดแทนตาข่ายสีฟ้าก็ย่อมได้ อีกทั้งเวลามองขึ้นไปตาม ร่องฝ้าเพดานก็จะมองไม่เห็นตาข่ายอันนี้ เพราะมันกลืนกับความ มืดที่อยู่เหนือฝ้าเพดานนั่นเอง

  • ฝ้าในห้องน้ำต้องเป็นฝ้ากันความชื้นเท่านั้น

สำหรับฝ้ายิปซัมเพื่อการฉาบเรียบในท้องตลาดมีอยู่ 2 แบบ คือ

1. แบบธรรมดา คือใช้ได้ทั่ว ๆ ไปในบ้าน หรือในส่วนที่ ไม่ถูกความชื้นหรือน้ำหรือน้ำฝน สีของฝ้าจะออก TONE สีขาวหรือ สีน้ำตาล

2. แบบกันความชื้น ทำมาเพื่อกันความชื้นโดยตรง สี ของฝ้าจะออก TONE เขียวอ่อน ๆ สังเกตได้ง่าย ใช้สำหรับห้องน้ำ หรือห้องที่มีความชื้นมาก ๆ เช่น ห้องใต้ดิน คุณสมบัติจึงไม่บิด งอหรือโก่งได้ง่าย ถ้าไม่โดนน้ำฝนหรือฝ้าเปียกน้ำอยู่ตลอดเวลา สำหรับห้องน้ำเราอาจจะหลีกเลี่ยงมาเป็นฝ้าไม้ระแนง ทาสีก็ย่อมได้แต่ควรเป็นไม้ที่ผ่านการอบแห้งมาเรียบร้อยแล้ว

  • ฝ้าปูนฉาบใต้พื้นโครงสร้างระวัง

บางบ้านนิยมฉาบปูนแทนการติดตั้งฝ้ายิปซัมอัน เนื่องมาจากห้องนั้น ๆ มีความสูงไม่เพียงพอหรือเป็นห้องที่ไม่ ค่อยมีความสำคัญ แต่ผลร้ายที่ตามมาก็คือ การหลุดล่อนของปูนที่ ฉาบ หล่นลงมาใส่หัวคนในบ้านอันเนื่องมาจากส่วนผสมของปูน ฉาบไม่ดี หรือใต้พื้นโครงสร้างเดิมลื่นเป็นมันไม่เกาะกับปูนฉาบ หรือช่างไฟเดินสายไฟฟ้าไปตอกตะปูทำให้ปูนฉาบร้าว ดังนั้น ทางที่ดีถ้าเรารู้ว่าจะไม่ตีฝ้าในห้องไหนก็ควรใช้ไม้แบบในการหล่อ ให้เนี้ยบ ๆ เช่น แผ่นไม้อัดหรือแผ่นเหล็กหือถ้าเป็นบ้านเก่าก็ แก้โดยวิธีทาสีนูน ก็จะสวยงามได้โดยไม่ต้องฉาบปูนใหม่

  • ฝ้าโค้ง แผ่นยิปซัมทำได้หรือไม่

สามารถทำได้ แต่ในความโค้งที่ไม่มากนักโดยวิธีการดัดฝ้า เอาไว้ก่อนนำไปติดตั้ง คือนำแผ่นฝ้ายิปซัมมาวางบนท่อระบาย น้ำซีเมนต์ ในด้านทางขวาง แล้วนำแผ่นยิปซัมมาซ้อนกันหลาย ๆ แผ่นตามความต้องการที่จะใช้ ประมาณ 1 หรือ 2 วัน แผ่น ยิปซัมก็จะดัดโค้งด้วยน้ำหนักของตัวมันเอง ถ้าเราอยากได้โค้ง ใหญ่ก็ใช้ท่อซีเมนต์ขนาดใหญ่ ถ้าอยากได้โค้งเล็กก็ใช้ท่อซีเมนต์ ขนาดเล็ก

  • ช่องแสงบนฝ้าใช้พลาสติกดีกว่ากระจก

บ้านที่นิยมเปิดช่องแสงบนหลังคาเพื่อให้แสงธรรมชาติ ส่องลงมามักจะกรองแสงด้วยฝ้าที่เป็นกระจกฝ้า ซึ่งมีอันตรายมาก ถ้าเกิดกระจกแตก หล่นลงมาควรเปลี่ยนเป็นแผ่นพลาสติกอะครี ลิกจะดีกว่าซึ่งมีความยืดหยุ่นและน้ำหนักเบา ไม่แตกและไม่เป็น อันตรายเมื่อหล่นลงมา อีกทั้งคุณภาพในการกรองแสงก็เทียบได้ พอ ๆ กัน ซ้ำยังมีลวดลายให้เลือกได้มากกว่า

  • ทาน้ำยากันปลวกทุกครั้งที่โครงเคร่าเป็นไม้

เพื่อป้องกันปลวกมากัดกินไม้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไม้ เนื้ออ่อนเพราะราคาถูก เหมาะแก่การทำโครงเคร่า เสียเงินใน ครั้งแรกนิดหน่อย ซื้อน้ำยากันปลวก ดีกว่าที่จะมาเสียเงิน มากมายในการรื้อฝ้าทิ้งในภายหลัง หลังจากที่ปลวกได้จัดการ เรียบร้อยแล้วกับโครงเคร่าฝ้าเพดาน

  • ในส่วนที่จะติดตั้งแอร์แบบแขวนหรือพัดลมเพดาน

ควรเตรียม โครงเคร่าฝ้าให้แข็งแรง เมื่อเรากำหนดตำแหน่งที่จะติดตั้งแอร์หรือพัดลมเพดาน หรือโคมไฟช่อใหญ่ ๆ แล้ว ควรเผื่อโครงเคร่าที่แข็งแรงในส่วน นั้นด้วย เผื่อเอาไว้สำหรับยึดสิ่งเหล่านั้นให้แน่นหนาไม่ให้หล่น ลงมา โครงเคร่าที่ว่านี้อาจจะแยกอิสระจากโครงเคร่าหลักของฝ้า เพดานเลยก็ยิ่งดี หรือใช้วิธีฝังตะขอเหล็กไว้ก่อนในขั้นตอนการเท พื้นคอนกรีต

ไฟฟ้า, ประปา[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

  • การเดินท่อประปาและไฟฟ้า ระหว่างอาคารเก่ากับอาคารใหม่

เนื่องจากการทรุดตัวของอาคารต่างกัน อาคารเก่านั้นคงที่ แต่อาคารใหม่นั้นยังมีการทรุดตัวตามปกติ ดังนั้น การวางท่อประปาที่อยู่ใต้พื้น ควรระวังปัญหาที่จะเกิดขึ้น มีผลทำให้ท่อประปาแตกโดยที่เราไม่สามารถรู้ได้เลย ดังนั้น จึง ควรเดินท่อประปาลอยหรือเดินนอกตัวบ้านเพื่อสามารถตรวจเช็ค ได้

การเดินสายไฟฟ้า ควรเผื่อระยะของสายไฟในช่วงรอยต่อ อาคารใหม่กับอาคารเก่าให้มากกว่าปกตินิดหน่อย เพื่อกันสายไฟตึง หรือขาดซึ่งอันตรายมาก

  • ฝังปลั๊กหรือสวิตซ์ในเสา

ในขั้นตอนของการฝังจะต้องสกัดบอกช่างให้ระวังเหล็ก โครงสร้างในเสาจะขาด มีผลทำให้บ้านพังได้ ขั้นตอนการสกัดจึง ต้องระมัดระวังหรือพยายามหลีกเลี่ยงโดยการฝังกล่องปลั๊กหรือสวิตซ์ ไว้ระหว่างเหล็กเส้นในขณะเทคอนกรีตลงในเสา หรือโดยการ พอกเสาให้มีความหนามากขึ้นในงานตกแต่งภายใน

  • อุปกรณ์สัญญาณเตือนไฟไหม้ ใช้กันอย่างไร

ปัจจุบันในเทศบัญญัติการก่อสร้างมีกำหนดให้ติดตั้ง อุปกรณ์สัญญาณเตือนไฟไหม้และเครื่องดับเพลิงขนาดเล็ก ชั้น ละ 1 จุดในบ้านพักอาศัย ซึ่งอุปกรณ์ที่ว่านี้มีอยู่ 2 ลักษณะการใช้ คือ

1. SMOKE DETECTOR หรือเครื่องดักจับควัน เมื่อมีควัน ไฟอันเนื่องมาจากไฟไหม้ ปริมาณของควันจำนวนหนึ่งจะทำให้ เครื่องดักจับควันทำงานโดยการส่งเสียงเตือน

2. HEAT DETECTOR หรือเครื่องดักจับความร้อน เมื่อมี ควันไฟแล้วก็จะมีความร้อนและเปลวไฟตามมา เมื่อมีความร้อน ร้อนถึงจุดหนึ่งเครื่องดักจับความร้อนก็จะทำงานด้วยการส่งเสียง เตือนเช่นกัน บ้านไหนจะเลือกอุปกรณ์แบบไหนตามความ เหมาะสมก็เลือกใช้กันเองขอเพียงแต่ว่าเมื่อติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้ ควรหมั่นบำรุงรักษาอย่าเพียงแค่ติดตั้งเอาไว้เพียงเป็น เครื่องประดับบ้านเท่านั้น!

  • อย่าเดินสายโทรศัพท์กับสายไฟในท่อเดียวกัน

มักจะเกิดขึ้นสำหรับบ้านที่ชอบฝังสายเหล่านี้ในผนัง ช่างไฟฟ้าบางคนมักลดต้นทุนของตัวเองด้วยการเดินเอาไว้ในท่อ เดียวกัน และคิดว่าเจ้าของบ้านไม่รู้เรื่อง ซึ่งกว่าเจ้าของบ้านจะ รู้ตัวก็สายไปแล้ว หลังจากใช้โทรศัพท์เพราะจะมีเสียงรบกวนอยู่ ตลอดเวลา ทั้งนี้เนื่องมาจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในสายไฟไป รบกวนการทำงานของสัญญาณโทรศัพท์ส่วนกรณีของสายอากาศ โทรทัศน์ที่เกิดคลื่นรบกวนก็เกิดจากกรณีนี้เช่นเดียวกัน

  • เพิ่มอีกนิดสำหรับเต้ารับไฟฟ้า และเบรกเกอร์สำหรับห้องน้ำ

เต้ารับไฟฟ้าทั่วไปส่วนใหญ่เราจะเห็นว่ามี 2 รู ควร เปลี่ยนมาใช้แบบ 3 รูหรือ 3 ขา ซึ่งมีสายเดินเพิ่มขึ้นมา สามารถป้องกันไฟฟ้ารั่วได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถใช้กับปลั๊ก แบบขากลมและขาแบนได้ทั้ง 2 ชนิด เต้ารับในห้องน้ำและโรงรถจะต้องป้องกันไฟฟ้าชอตและ รั่วไว้เนื่องจากจะมีเรื่องน้ำเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยควรติดตั้งเบรกเกอร์ ตัดไฟขนาด 10 mA ไว้

  • เปิดปิดแอร์บ่อย ๆ เครื่องจะเสียหรือไม่!?

ปัจจุบันระบบการทำงานของแอร์ออกแบบไว้เป็นอย่างดี ในเรื่องของการใช้งานหลายรูปแบบ การปิด-เปิด เครื่องแอร์บ่อย ๆจึงไม่ค่อยเป็นปัญหาไม่ว่าตัวเครื่องปล่อยแอร์หรือ คอมเพรสเซอร์ที่ตั้งอยู่นอกตัวบ้าน เนื่องจากในการเปิดสวิตซ์ ทุกครั้งคอมเพรสเซอร์ที่จะเป็นตัวควบคุมการปล่อยน้ำยาจะไม่ ทำงานโดยทันทีโดยจะทิ้งระยะไว้ประมาณ 3นาที คอมเพรสเซอร์จึงจะเริ่มทำงาน ดังนั้นการเปิด-ปิดแอร์บ่อย ๆ จึงไม่ทำให้เครื่องแอร์เสีย

  • ข้อจำกัดของแอร์แบบแยกส่วน (SPLIT TYPE)

ถ้าเจ้าของบ้านมีความจำเป็นจะต้องตั้งเครื่องแอร์กับ คอมเพรสเซอร์ห่างกันมาก มีผลทำให้ท่อน้ำยาแอร์จะยาวซึ่งจะ ทำให้ไม่เย็นจำเป็นจะต้องเสียเงินเพิ่มในส่วนของขนาดท่อ น้ำยาให้ใหญ่ขึ้นจากขนาดมาตรฐานเพื่อให้น้ำยาวิ่งได้สะดวก หาก ยังไม่พอก็จำเป็นจะต้องเพิ่มขนาดของคอมเพรสเซอร์ซึ่งราคาก็ จะสูงตามมาอีกด้วยเช่นกัน ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงเป็นข้อจำกัดของ แอร์แบบแยกส่วน

  • ความสูงที่เหมาะสมของตำแหน่งปลั๊กและสวิตซ์ไฟ

ระดับมาตรฐานทั่วไปสำหรับอาคารพักอาศัย แบ่ง มาตรฐานเป็น 2 ระดับคือ

1. ระดับ 30 เชนติเมตร จากพื้นห้อง ซึ่งจะเป็นระดับ ของปลั๊กไฟที่ใช้ำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าหนัก เช่น เครื่องดูดฝุ่น พัดลม และเพื่อเดินสายต่อไปยังเฟอร์นิเจอร์สำหรับตั้งโต๊ะ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ โคมไฟตั้งโต๊ะ เป็นต้น

2. ระดับ 110 เชนติเมตร จากพื้นห้อง เป็นความสะดวก ในการใช้สวิตช์และปลั๊กไฟสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าบางอย่าง เช่น ตู้ ทีวี

  • ระยะห่างจากขอบกำแพงที่เหมาะสม

สำหรับตำแหน่งปลั๊กและ สวิตช์ไฟ

โดยทั่วไปริมขอบกำแพงจะมีเสาเอ็นอยู่เสมอ ไม่ควรเจาะ หรือฝังกล่องปลั๊กหรือสวิตช์ไว้ในแนวนี้คือขนาดของเสาเอ็น ประมาณ 10 เชนติเมตรดังนั้น จึงควรเจาะหรือฝังให้เลยจาก ช่วงนี้ออกไปอาจจะประมาณ 20 เชนติเมตร หรือ 30 เชนติ เมตร ก็ได้

  • ดาวไลท์ (DOWN LIGHTING)

คือการติดตั้งดวงไฟด้วยการฝังหลอดไฟฟ้าไว้ในเพดานโดย มีกล่องครอบหรือเป็นกระบอกยาวยื่นออกมาสำหรับเป็นตัวบังคับ ทิศทางของแสงให้ส่องไปยังจุดที่เราต้องการ จะส่องโดยตรงจาก หลอดไฟ หรือส่องให้ตกกระทบกับผนังก่อนก็ได้ อุปกรณ์ของ กล่องครอบส่วนใหญ่จะเป็นอลูมิเนียมมีหลายสี

ข้อดีของดาวไลท์ก็คือสามารถบังคับแสงให้ส่องตรงมายัง พื้นห้องให้ความสว่างเฉพาะจุดที่ต้องการ หรือแก้ไขจุดที่บกพร่อง ของห้อง โดยการพรางมุมนั้น ๆ ให้กลืนหายไปกับความมืด อีกทั้ง ยังทำให้บรรยากาศภายในห้องเกิดความสวยงามบังคับความเข้ม ของแสงได้ตามความต้องการ ดาวไลท์ไม่เหมาะกับห้องที่ต้องใช้ แสงสว่างมาก ๆ ในการทำงาน เช่น ห้องครัว หรือห้องเก็บของ

  • หลอดไฟที่ใช้กับดาวไลท์

มีหลายประเภทแล้วแต่ใครจะเลือกใช้ตามความชอบและ เหมาะสม

1. หลอดไฟธรรมดาหรือหลอดที่มีไส้ เป็นแบบขั้วหลอด เกลียวและหลอดเขียว จะให้แสงที่เป็นสีเหลือง และมีความร้อน มาก

2. DAY LIGHT เป็นหลอดแก้วสีฟ้าเข้ม ให้แสงนวลตา คล้าย ๆ กับแสงจันทร์เหมาะสำหรับใช้อ่านหนังสือ

3. หลอดฮาโลเจน เป็นหลอดที่ให้แสงออกมาคล้ายกับ หลอดไฟธรรมดา แต่ความร้อนจะน้อยกว่ามาก และโทนสีที่ อบอุ่นและนุ่มนวลกว่า สมารถใช้ร่วมกับ DIMMER เพื่อปรับความ เข้มของแสงได้ด้วย

4. หลอดประหยัดไฟ คล้ายกับหลอดนีออนทั่วไปที่ย่อ ขนาดลงมาให้เล็ก แต่ประสิทธิภาพของแสงและความสว่างจะ ใกล้เคียงกัน และประหยัดไฟฟ้าเป็นอย่างมากเมือเปิดเป็น เวลานาน ๆ

หลังคา[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

  • อลูมิเนียมฟอยด์กันความร้อน

เป็นวัสดุแผ่นบาง ๆ มีคุณสมบัติในการสะท้อนและไม่ดูด ความร้อนมีขายเป็นม้วน ๆ นำมาปูบนโครงหลังคาบ้าน ก่อนที่ จะมุงกระเบื้องทับลงไปอีก อะลูมิเนียมฟอยด์นี้มีความเหนียวไม่ ขาดง่าย ๆ เมื่อเรามุงไปแล้วจะช่วยลดความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ ส่วนหนึ่ง ทำให้ภายในบ้านเย็นสบาย

  • ห้องใต้หลังคาไม่ใช่ห้องอบความร้อน

จัดเป็นส่วนใช้สอยที่มีประโยชน์ได้เป็นอย่างดี มี บรรยากาศของความเป็นบ้านอันเนื่องมาจากความลาดเอียงของ หลังคานั่นเองเหมาะสำหรับเป็นห้องนอนเล่น ห้องอ่านหนังสือ ความที่ใกล้กับหลังคานี่เองที่ทำให้ได้รับแสงแดที่ร้อนแรงตลอด ทั้งวันห้องจะอบ ถึงแม้จะแก้ไขโดยการติดแอร์ก็กลับจะสิ้นเปลือง ค่าไฟฟ้าโดยใช่เหตุ ดังนั้นสิ่งแรกจึงควรเปลี่ยนสีของหลังคาให้ เป็นสีอ่อนจะได้ไม่ดูดความร้อนและใต้หลังคาปูแผ่นฟอยด์ (Foil) กันความร้อนของตราช้างอีกชั้นหนึ่งสำหรับฝ้าเพดานให้ตีห่างจาก แนวกระเบื้องลงมาประมาณ 0.30 เมตร เพื่อเป็นช่องระบาย ความร้อน ถ้าเป็นฝ้ายิปซัมให้ใช้แบบมีฟอยด์ติดกับยิปซัม ถ้า เป็นฝ้าไม้ควรเป็นไม้ที่อบแห้งสนิทแล้วจากร้าน ผนังโดยรอบถ้า ก่ออิฐแบบ 2 ชั้นได้ก็จะดีและที่สำคัญที่สุดคือ ต้องมีช่องระบาย อากาศติดพัดลมดูดอากาศเพื่อไล่ความร้อนออกไป พื้นไม่ควรปูพรม เพราะความร้อนจะทำให้พรมเสื่อมคุณภาพ มีกลิ่น ควรเป็น พื้นที่ให้ความเย็น เช่น กระเบื้องเซรามิก โดยการปูทับพื้นด้วย กาวซีเมนต์

  • ช่องแสงบนหลังคา (SKY LIGHT)

ช่องแสงบนหลังคาหรือบันไดในเมืองนอกมีประโยชน์ เพื่อให้แสงแดดส่องผ่านลงมา เพื่อนำความอบอุ่นเข้ามาในบ้าน สำหรับบ้านเราความร้อนแรงของแสดแดดนั้นมีมาก ถ้าส่องผ่าน SKY LIGHT ลงมาโดยตรง (DIRECT) จะทำให้เพิ่มความร้อน ภายในบ้านเข้าไปอีก ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยง SKY LIGHT ควรทำ แบบให้แสงผ่านตกกระทบ (INDIRECT) กับส่วนอื่นแล้วจึงสะท้อน ลงมา วิธีนี้จะดีกว่าจะทำให้ความร้อนสูญหายไปบางส่วน ช่วยให้ ได้แสงที่นุ่มนวลและไม่ร้อน หรือถ้าเป็นห้องกระจกใสทั้งผนัง ควรหันผนังหรือห้องไปทางด้านทิศเหนือจะดีกว่า

  • ไม้ปิดลอนมีไว้ทำไม

เดี๋ยวนี้ถ้าพูดว่าไม้ปิดลอน คงเชยไปแล้วเพราะเดี๋ยวนี้มี แบบสำเร็จรูปเป็นแผ่นเหล็กแถมยังเจาะรูเล็ก ๆ ไว้สำหรับระยาย อากาศได้ด้วย อีกทั้งยังมีขนาดบางสามารถซ่อนไว้หลังเชิงชายได้ อย่างสบาย ซึ่งผิดกับไม้ปิดลอนกระเบื้องสมัยก่อน ที่จะต้องฉลุ ลายโค้งตามแบบของกระเบื้องมุงหลังคาและต้องวางไว้ด้านนอก ของเชิงชาย แต่คุณสมบัติของทั้ง 2 ชนิด ก็คือ สำหรับปิดกั้นไว้ ไม่ให้นกหนูแมลงมุดเข้าไปทำรังในหลังคาหรือบนฝ้าเพดาน

  • ปูนพอกสันหลังคาเดี๋ยวนี้เขาไม่ใช้แล้ว

เพราะในปัจจุบัน เขามีกระเบื้องครอบสันหลังคา สำเร็จรูปวางต่อกันเป็นชิ้น ๆ สะดวกรวดเร็ว มีทั้งแบบครอบมุม และปีกนก สวนแบบเดิมที่ใช้ปูนพอกนั้น มักจะมีปัญหาเกี่ยว กันปูนร้าวและน้ำซึมเข้าไปหรือถ้ากระเบื้องแผนบนสุดที่ติดกับ ครอบปูนแตกก็จะเปลี่ยนแผ่นใหม่ไม่ได้ จนกว่าจะทุบครอบปูน ออกเสียก่อน

  • ทำไมต้องตะเฆ่ราง ทำไมต้องตะเฆ่สัน

ตะเฆ่รางคือ สันของหลังคาที่เห็นเป็นรางหุบลงไป ปัญหาที่มักเกิดกับตะเฆ่รางก็คือ การรั่ว อันเนื่องมากจากตะเฆ่ปิด หรือรางน้ำในตะเฆ่บิดหรืออุดตัน หรือรางน้ำเป็นสนิมและมี ขนาดเล็กเกินไป

ตะเฆ่สันคือ สันของหลังคา ที่เป็นสันขึ้นมา มักจะมี กระเบื้องครอบมุมทำให้ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องน้ำรั่ว ตะเฆ่สันที่ดี จะต้องเป็นสันตรงไม่บิดหรือโค้งตกท้องช้าง ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น แสดงว่าโครงหลังคาบ้านคุณกำลังมีปัญหา อาจจะหักพังลงมาได้ให้ รีบแก้ไขโดยด่วน

  • ลงทุนแพงหน่อยแต่อยู่ได้หลาย ๆ ปี รางน้ำตะเฆ่ราง

การลงทุนที่ว่านี้คือ การลงทุนซื้อรางน้ำที่จะวางในแนว ของตะเฆ่รางเป็นแบบสเตนเลส ซึ่งมีราคาแพงกว่าอะลูมิเนียม และสังกะสีชุบหลายเท่านัก แต่ความแข็งแกร่งและทนทานไม่ เป็นสนิมตลอดกาลนั้นเป็นสิ่งดีเพราะมักจะทำให้หลังคาบ้านไม่ รั่ว ฝ้าไม่บวม และสิ่งที่เสียหายจะตามมาอีกมากมาย จึงเชื่อได้ว่า การลงทุนในสิ่งที่เห็นว่ามีประโยชน์มาก ๆ ในตอนต้น บั้นปลาย ก็จะสบายไปจนตาย

  • กระเบื้องรับจานดาวเทียม

ยุคของการสื่อสารด้วยดาวเทียม กลายเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับชาวบ้านโดยทั่วไป สามารถหาซื้อกันได้เหมือนของเล่น แต่ปัญหาจะเกิดหลังจากจะนำมาติดตั้ง ยิ่งถ้าหลังคาเป็นแบบมุง กระเบื้องหลังหลังแล้วแทบจะหมดสิทธิ์ในการเลือกตั้ง แต่ยังดีที่ ตอนนี้มีคนพยายามคิดกระเบื้องมุงหลังคาแบบพิเศษสามารถทำ เป็นกระเบื้องขา 3 ขา ยื่นขึ้นมารับขาตั้งจานดาวเทียมอีกทั้งยัง สามารถปรับมุขของจานดาวเทียมได้อีกด้วย หลังคาที่จะติดตั้งได้ นี้ไม่ค่อยมีความชันของหลังคาเกิน 45™ และควรติดตั้งในแนวของ จันทันเพราะจะรับน้ำหนักจานดาวเทียมได้ดี และไม่ควรติดตั้ง ในบริเวณที่อยู่ใกล้ชายคาโดยรอบจนเกินไป ควรห่างขึ้นมาสัก ประมาณ 1.50 เซนติเมตร เมื่อติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว 1 ใน 3 ขาของกระเบื้องที่เป็นฐานจะมรฐานหนึ่งที่ออกแบบไว้เป็นรู สำหรับสอดใส่สายอากาศลงไป โดยที่น้ำไม่สามารถจะซึมผ่านรูนี้ เข้าไปได้

เรื่องอื่น ๆ[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

  • สายล่อฟ้า!?

บ้านที่มีความสูง 3 ถึง 4 ชั้นขึ้นไป ควรติดตั้งสายล่อฟ้า เพื่อความปลอดภัยเพราะไม่เช่นนั้นสายอากาศหรือจานดาวเทียม ที่มีอยู่บนหลังคำจะเป็นตัวรับฟ้าผ่าแทนหลังจากนั้น เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลายภายในบ้านก็จะถึงคราวเปลี่ยนใหม่ก่อน ถึงเวลาอันสมควรอย่างแน่นอน

  • ถังเก็บน้ำของคู่บ้านที่ขาดไม่ได้ในยุคนี้

ถังเก็บน้ำมีอยู่ 3 แบบ คือ

1. ถังเก็บน้ำสเตนเลส จัดเป็นรูปทรงกระบอก มีหลาย ขนาดจูได้ตั้งแต่ 750 ลิตร จนถึง 1,100 ลิตร มีคุณสมบัติไม่ เป็นสนิมและมีอายุการใช้งานก็ยาวนาน แถมยังไม่เกิดตะไคร่ ภายในถังอีกด้วย ถึงแม้จะขังน้ำเอาไว้นาน ๆ ถังก็จะไม่สึกกร่อน ด้านบนตัวถังจะมีลูกลอยสามารถบังคับให้น้ำที่ไหลเข้าหยุดได้โดย อัตโนมัติเมื่อได้ระดับน้ำที่ต้องการ

2. ถังเก็บน้ำไฟเบอร์กลาส เป็นแบบเสริมแรงโดยการนำ ไยแก้ว (Fiber Glass) ไปเสริมแรงกับพลาสติกที่ทำให้แข็งแรง ยิ่งขึ้น สามารถรับแรงอัดได้เป็นอย่างดีอีกทั้งน้ำที่เก็บไว้ในถังก็ สะอาดปราศจากสารพิษและไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของสนิมเลย รูปทรงนั้นมีหลายแบบ เช่น ทรงกระบอก ทรงแอปเปิ้ล ทรง กลม ส่วนของขนาดความจุนั้นมีตั้งแต่ 500 ลิตรไปจนถึง 4,000 ลิตร ถังน้ำชนิดนี้สามารถใช้ฝังดินได้ด้วย ซึ่งจะสะดวก กว่าแบบเก่ามากที่ต้องมาหล่อทำเป็นถังคอนกรีตใต้ดิน ด้านบน ตัวถังจะมีลูกลอยเช่นเดียวกันกับแบบถังน้ำสเตนเลส

3. ถังเก็บน้ำสังกะสี ทำมาจากเหล็กอาบสังกะสี รูปทรง สี่เหลี่ยมจัตุรัสจุน้ำได้ 500 ลิตร ตัวถังมีรูให้น้ำเข้าและน้ำออก บริเวณก้นถังมีความคงทนและแข็งแรงมาก ขอบถังโดยรอบจะถูก เม้มริมด้วยน๊อตเป็นอย่างดี

  • จะปูพรมต้องติดบัวพื้นก่อนหรือหลัง

ต้องติดบัวพื้นและทาสีให้เสร็จเสียก่อน เพราะพรมจะ เป็นวัสดุปูพื้นชื้นสุดท้ายที่จะปู เนื่องจากมันจะเลอะได้ง่ายและ ดักเก็บฝุ่น ถ้างานในส่วนอื่น ๆ ของบ้านยังไม่เสร็จ เช่น งานขัด พื้นไม้ปาร์เกต์หรืองานทำสีบ้านก็ไม่ควรที่จะปูพรมที่พื้น จริง ๆ แล้วขั้นตอนในการปูพรมนั้นง่ายมาก ใช้เวลาไม่นานนักก็ปูเสร็จ และสามารถเข้าไปอยู่ไปใช้ได้เลยทันทีจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร ที่ เราจะติดตั้งบัวพื้นและมาสีให้เสร็จเสียก่อนที่จะปูพรม

  • วิธีจบบัวพื้น (บัวเชิงผนัง)

บัวพื้นถ้าเราจบด้วยด้านสกัดก็จะเห็นเป็นเสี้ยนไม้ซึ่งไม่ สวยงามควรตัดบัวเป็นแนวเฉียง แล้วหักมุมให้ด้านสกัดหันลงสู่ พื้น เพียงเท่านี้ก็จะได้ตัวจบของบัวพื้นได้อย่างสวยงาม

  • คุณลืมค่าใช้จ่ายที่ต้องให้กับหน่วยราชการหรือเปล่า

เช่นค่าธรรมเนียมในการขออนุญาตปลูกสร้างบ้าน ค่า โอนที่ดิน ค่าขอเลขที่บ้าน ค่าตั้งมิเตอร์ไฟ และมิเตอร์น้ำใหม่ ค่าย้ายเสาไฟ กรณีที่มันตั้งขวางทางเข้า-ออก และอื่น ๆ อีก มากมายที่จะต้องเกี่ยวข้องกับทางราชการ

  • ค่าแบบของสถาปนิกและค่าพิมพ์เขียว

เจ้าของบ้านเวลาคิดงบประมาณของการก่อสร้างมักจะลืม รวมค่าออกแบบของสถาปนิกลงไปด้วย หรือค่าพิมพ์เขียวแบบที่ เจ้าของบ้านมักขอจากสถาปนิกอยู่บ่อย ๆ นอกเหนือจากที่ สถาปนิกจะต้องให้กับเจ้าของบ้านอยู่แล้วประมาณ 7-8 ชุด

  • ค่าน้ำค่าไฟของเรือนพักคนงาน

หน่วยงานก่อสร้างมักจะมีเรือนพักคนงานมากินมาอยู่ด้วย จำเป็นจะต้องใช้ไฟใช้น้ำเป็นจำนวนมาก เจ้าของบ้านควรคุยกับ ผู้รับเหมามาให้ชัดเจนเสียก่อนว่าใครจะเป็นคนออกเงินในส่วน นี้ เพราะผู้รับเหมาบางรายชอบพาคนงานหนีไปก่อนที่งาน ก่อสร้างจะเสร็จ

  • ค่าไม้แบบ

เจ้าของบ้านควรตกลงกับผู้รับเหมาอีกเช่นกันว่า ใครจะ เป็นผู้รับผิดชอบในส่วนนี้ ผู้รับเหมามักจะคิดเพิ่มจากในสัญญา เจ้าของบ้านโปรดระวังให้ดี

  • เดินสายไฟลอยกับเดินสายในผนังต่างกันอย่างไร

ก่อนฉาบปูนบนผนังตัดสินใจให้แน่นอนเสียก่อนว่าจะ เดินสายไฟแบบไหน เพราะราคาของเดินในผนังจะแพงกว่าเป็น เท่าตัว หรือจะมาตัดสินใจตอนฉาบปูนไปแล้ว แล้วจะมานั่งสกัด ผนังกันใหม่ย่อมจะเสียเวลาและยุ่งยากเป็นทวีคูณและผลที่ ตามมาก็คือ รอยฉาบผนังใหม่บนรอยสกัดกับผนังที่ฉาบไปแล้วไม่ มีวันที่จะกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันไปได้อย่างแน่นอน

  • มุ้งลวด เหล็กดัด รางน้ำ

สิ่งที่กล่าวมานี้อย่ามองข้ามว่าไม่สำคัญ ปัจจุบันอาจจะ ปฏิเสธไม่ได้ถ้าไม่ให้มี ดูจะเป็นส่วนหนึ่งสำหรับบ้านเมืองร้อน ที่ยุงชุม พอ ๆ กับขโมยที่เต็มบ้านเต็มเมือง ดังนั้นจึงควรเจียด เงินส่วนหนึ่งหรือเตรียมเงินเอาไว้แต่เนิ่น ๆ สำหรับงานในส่วน นี้ด้วยก็แล้วกัน

  • ท่อน้ำมีกี่แบบ (P.V.C)

แบ่งออกเป็น 3 แบบ โดยใช้สีเป็นตัวกำหนดตาม ลักษณะของการใช้งาน คือ

สีเทา เป็นท่อที่มีความแข็งแรงน้อยที่สุด บางที่สุด เหมาะที่จะใช้กับงานที่มีแรงดันในท่อไม่มาก เช่น นำไปใช้ เป็นท่อน้ำทิ้งหรือท่ออากาศ

สีฟ้า เป็นท่อที่มีความแข็งแรงเพิ่มมาอีกระดับหนึ่ง และ สามารถที่จะใช้กับงานที่มีแรงดันในท่อมากขึ้น เช่น ท่อน้ำที่มี ปั๊มน้ำเป็นแรงขันดัน

สีเหลือง เป็นท่อที่มีความแข็งแรงมากที่สุด ใช้สำหรับ งานร้อยสายต่าง ๆ เช่น สายไฟ สายโทรศัพท์ สายทีวี หรือจะฝัง ในกำแพงหรือในส่วนของโครงสร้างที่เรามองไม่เห็นหรือเปลี่ยน ได้ยากลำบาก

ข้อคิดที่สำคัญก่อนลงมือต่อเติมบ้าน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

บ้านเหมือนสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ที่จะต้องเติบโตและแก่เฒ่า ชราไป ดังนั้น การต่อเติมบ้านเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดขึ้นได้ มี ข้อคิดที่น่าสนใจว่าเมื่อลงมือต่อเติมบ้านจะทำอย่างไร

- ถามตัวเองก่อนว่ามีเงินหรือเปล่า หากมีงบประมาณที่ แน่นอน จงวางแผนที่จะใช้เงินนั้นเพียง 70% ของเงินที่มี เพราะการต่อเติมบ้าน อาจพบกับปัญหาการบานปลายได้ง่ายกว่า การสร้างบ้านใหม่

- ตรวจเช็คว่าการต่อเติมนั้นผิดกฎหมายหรือไม่ และหาก จำเป็นต้องขออนุญาตต่อทางราชการ ก็ดำเนินการเสีย

- ระวังปัญหาโครงสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อม โครงสร้างเก่ากับโครงสร้างใหม่ เพราะอาคารใหม่กับอาคารเก่าจะ ทรุดตัวไม่เท่ากันแน่นอนเกิด “อาคารวิบัติ” ได้ หรือท่อแตก สายไฟขาด อันเนื่องจากการทรุดตัวไม่เท่ากัน

- ตรวจเช็คประปา – ไฟฟ้า สำหรับส่วนที่ต่อเติมว่าจะเอา จากไหนมาใช้ และอย่าต่อโดยไม่รู้เรื่อง เช่นดึงสายไฟเล็กๆ จาก บ้านเก่ามาเข้าบ้านใหม่ทั้งหลัง สายไฟอาจช๊อตและไฟไหม้....ทั้ง บ้านเก่าบ้านใหม่..หายหมด

อย่าสุ่มสี่ สุ่มห้า เปลี่ยนพื้นสำเร็จ กับ พื้นหล่อกับที่...พัง แน่นอน ?

เป็นเรื่องที่น่าเศร้าไม่น้อยเลย ว่าผู้รับเหมาบ้านเราหลายคน ทำให้เกิดอาคารวิบัติโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยการเปลี่ยนแปลง แบบวิศวกรรมโครงสร้างของพื้นจากพื้นหล่อกับที่ธรรมดา ไปเป็น พื้นสำเร็จเพื่อการทำงานที่ง่ายกว่า...และบางทีก็เปลี่ยนจากพื้น สำเร็จ ไปเป็นพื้นหล่อกับที่ ยามที่หาพื้นสำเร็จตามแบบไม่ได้ โดยมักจะบอกกับเจ้าของอาคารว่า..”เหมือนกัน” ธรรมชาติของพื้นทั้งสองระบบนี้แตกต่างกันมาก และทำให้ อาคารของท่านพังลงมาได้ง่ายๆ...หากลองวิเคราะห์ขั้นพื้นฐานของ การรับแรงในคานดูจะเห็นได้ถึงความแตกต่างอย่างเด่นชัด พื้นสำเร็จเป็นการวางแผ่นพื้นลงบนคานสองด้านคือหัวและ ท้าย สมมุติว่าพื้นทั้งผืนขนาด 6 x 6 เมตร รวมเป็นพื้นที่ 36 ตร. ม. ต้องการให้รับน้ำหนักได้ ตร.ม.ละ 200 กก. ทำให้จะต้องรับ น้ำหนักได้ = 36 x 200 = 7,200 กก. และน้ำหนัก 7,200 กก. นั้น จะถ่ายลงบนคานหัวท้ายสองข้างคานหัวท้ายจะแบ่งน้ำหนักกัน รับตัวละ = 7,200/2 =3,600 กก. โดยที่คานด้านข้างอีกสองตัว อาจจะไม่ได้รับแรงกดอะไรเลย ทำหน้าที่เป็นตัวยึดเท่านั้น....เมื่อ เปลี่ยนพื้นสำเร็จเป็นพื้นหล่อกับที่ การถ่ายน้ำหนักจะถ่ายลงยัง คานทั้ง 4 ตัว (ด้าน) ทำให้คานแต่ละตัวต้องรับน้ำหนัก = 7,200/4 = 1,800 กก. ค้านด้านข้างทั้งสองที่ออกแบบไม่ให้รับ น้ำหนักอะไรเลยก็ต้องรับน้ำหนัก 1,800 กก. ทำให้คานนั้นหักได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีพื้นต่อเนื่องทางด้านข้างอีก คานที่ไม่ได้ ออกแบบมาให้รับน้ำหนักอาจจะต้องรับน้ำหนัก 3,600 กก ที่ เดียว ส่วนคานด้านหัวท้ายออกแบบมาให้รับน้ำหนัก 3,600 กก กลับมีน้ำหนักลงเพียง 1,800 กก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ต่อเนื่องได้

ทำนองเดียวกัน หากเปลี่ยนพื้นหล่อกับที่ธรรมดามาเป็น พื้นสำเร็จ คานที่ออกแบบหัวท้ายรับเฉลี่ย 4 ส่วน ต้องมารับเฉลี่ย เพียง 2 ส่วน ก็จะรับน้ำหนักมากไปและจะเกิดการวิบัติได้ (ออกแบบไว้รับได้ 1,800 กก ต้องมารับ 3,600 กก.)

  • เสาเข็มมีกี่อย่าง แล้วจะเลือกใช้อย่างไร ?

เสาเข็มโดยทั่วไปจะแยกออกเป็นสำคัญ 2 ประเภท คือ เสาเข็มตอกและเสาเข็มเจาะ (ส่วนเสาเข็มพิเศษอื่นๆ เช่น Micro Pile นั้น หากไม่ใช่วิศวกรก็ไม่น่าจะไปสนใจ) ...เสาเข็มตอกและ เสาเข็มเจาะเองก็ยังสามารถแยกออกได้เป็นอย่างละอีก 2 ประเภท ซึ่งโดยสรุปรวมวิธีการทำงาน และจุดดีจุดด้อยน่าจะสรุปพอเป็น สังเขปได้ดังต่อไปนี้

1. เสาเข็มตอกทั่วไป จะมีหน้าตาต่างๆ กัน บางทีก็เป็นสี่เหลี่ยม บางทีก็เป็นหกเหลี่ยม บางทีก็เป็นรูปตัวไอ ซึ่งทุกอย่างจะมีหน้า ตัดตันทั้งต้นเวลาตอกก็ตอกไปง่ายๆ อย่างที่เราเห็นกันโดยทั่วไป

2. เสาเข็มกลมกลวง เป็นเสาเข็มที่สามารถรับแรงได้มากกว่าเสาเข็ม แบบแรกเพราะสามารถทำให้โตกว่าได้ ผลิตโดยการปั่นหมุน คอนกรีตให้เสาเข็มออกมากลมและกลวง เวลาตอกส่วนใหญ่จะขุด เป็นหลุมก่อนแล้วกดเสาเข็มลงไปพอถึงระดับที่ต้องการจึงจะเริ่ม ตอก ทำให้มีส่วนของเสาเข็มไปแทนที่ดินน้อยลง (ดินถูกขุด ออกมาบางส่วนแล้ว) อาคารข้างเคียงเดือดร้อนน้อยลงจากการ เคลื่อนตัวของดิน (แต่ความดัง ฝุ่นละออง และความสะเทือนยังคง อยู่

3. เสาเข็มเจาะแบบแห้ง เป็นระบบเสาเข็มเจาะขนาดเล็ก ส่วน ใหญ่จะลึกไม่เกิน 20 เมตร วิธีการคือเจาะดินลงไป (แล้วแต่ ระดับชั้นทราย) รับน้ำหนักต่อต้นได้ไม่เกิน 120 ตัน วิธีการคือ เจาะดินลงไป (แบบแห้งๆ) แล้วก็หย่อนเหล็กเทคอนกรีตลงไปใน หลุม....ราคาจะแพงกว่าระบบเข็มตอก แต่เกิดมลภาวะน้อยกว่ามาก ทั้งเรื่องการเคลื่อนตัวของดิน ความสั่นสะเทือน ฝุ่นละออง จึง เป็นที่นิยมใช้ในที่ที่มีคนอยู่หนาแน่น

4. เสาเข็มเจาะแบบเปียก ทำเหมือนเสาเข็มเจาะแห้ง แต่เวลาขุด ดินจะขุดลึกๆ แล้วใส่สารเคมีลงไปเคลือบผิวหลุมดินที่เจาะ ทำ หน้าที่เป็นตัวยึดประสานดินและดันดินไม่ให้พังทลายลงเวลา เจาะลึกๆ (ซึ่งสามารถเจาะได้ลึกกว่า 70 เมตร) รับน้ำหนักได้มาก และเกิดมลภาวะน้อย ราคาแพงส่วนการเลือกว่าจะใช้แบบไหนดี นั้น ต้องตั้งข้อสังเกตและปัญหาก่อนแล้วเปรียบเทียบความ จำเป็น

– ความเป็นไปได้ของแต่ละระบบในแต่ละงานโดยยึดถือ ข้อหลักประจำใจในการพิจารณาดังนี้

ก.) ราคา
ข.) บ้านข้างเคียง (มลภาวะ)
ค.) ความเป็นไปได้การขนส่งเข้าหน่วยงาน
ง.) เวลา (ทั้งเวลาทำงาน และเวลาที่ต้องรอคอย)

ในการเลือกระบบเสาเข็มนี้ ต้องขอร้องให้วิศวกรออกแบบเสาเข็ม และฐานรากหลายๆ แบบดู (อย่าเกิน 3 แบบ) ต้องวิเคราะห์รวม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราคาและเวลา) ของเสาเข็มและฐานราก จึง จะใช้เป็นข้อยุติได้ (หลีกเลี่ยงเสาเข็มราคาถูกทำเร็ว แต่ทำให้ฐาน รากราคาแพงและช้า ทำให้ทั้งโครงการล่าช้าไปหมด)

  • เหล็กข้ออ้อย เขาวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกันตรงไหน ?

แม้ในแบบจะระบุการใช้เหล็กข้ออ้อยตามขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง อย่าพยายามวัดเส้นผ่าศูนย์กลางของเหล็กข้ออ้อยเป็นอันขาด (บาง คนวัดจากข้อถึงผิวบางคนวัดจากผิวถึงผิว และข้อถึงข้อเอามาเฉลี่ย เป็นต้น)....ตามมาตรฐาน ASTM บอกว่าห้ามวัดเหล็กข้ออ้อย ใช้การ ชั่งน้ำหนักและทดสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้น

  • ถนนทรุด พื้นแตก คานหัก ท่อแตก ฯลฯ เกิดจากอะไร ?

สาเหตุสำคัญสำหรับเหตุการณ์ข้างต้น (ตามคำถาม) ส่วนใหญ่มักจะ เกิดจากการต่อเชื่อมโครงสร้างที่มีเข็มยาวไม่เท่ากัน หรือบางส่วน ไม่มีเสาเข็มเลย เช่น ถนน หรือพื้น (บางส่วน) หรือคาน ที่ส่วน ใหญ่ใช้บริเวณรอบนอกอาคารตอกเสาเข็มขนาดเล็กนำไปเชื่อมต่อ กับอาคารใหญ่ที่ใช้เสาเข็มขนาดใหญ่การทรุดตัวไม่เท่ากัน เกิด การฉีกขาด หักเสียหาย

ปูนเสือ ปูนช้าง ใช้ไม่ดีอาจโดน ช้างเหยียบ....เสือคาบไปแด ....นะครับ!

คนทั่วไปส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจว่าปูนซีเมนต์ทั่วไปนั้นมี 2 ชนิด ชนิดแรกเรียกว่าปูน Portland Cement (เช่นตราช้าง ตรา พญานาค ตราดอกจิก) ซึ่งใช้ทำโครงสร้างมีกำลังอัดสูงเข้มแข็งกว่า ปูนแบบที่สอง หรือที่เรียกว่าปูน Silica Cement (เช่น ตราเสือ ตรางูเห่า ตรานกอินทรีย์) ซึ่งมีกำลังอัดน้อยซึ่งจะใช้สำหรับงานก่อ อิฐ หรืองานฉาบปูนเท่านั้น

วิศวกรโดยส่วนใหญ่จะคำนวณโครงสร้างโดยใช้มาตรฐานกำลังอัด ของ Portland Cement พอมาทำจริงๆ หากผู้ก่อสร้างใช้ปูน Silica Cement ซึ่งแข็งแรงน้อยกว่า โครงสร้างของคุณก็ไม่แข็งแรง.... ดังนั้นก่อนการก่อสร้างตรวจหรือถามผู้ออกแบบสักนิดว่าเขา ออกแบบว่าให้ใช้ปูนชนิดใด...รายการใช้ปูนผิด (โกง ?) แบบนี้หาดู ได้ตามบ้านจัดสรรทั่วไป

ระวัง ระวัง....ผู้รับเหมาใจดี จะแถมพื้นคอนกรีตให้ท่าน หนาเกินไป!

ในการออกแบทั้งหลายทั้งมวล วิศวกรโครงสร้างได้ออกแบบพื้น คอนกรีตไว้หนาเพียงพอแล้ว อย่าให้ผู้รับเหมาเทพื้นคอนกรีตให้ หนาเกินกว่าที่แบบกำหนดด้วยความใจดี (หรือผิดพลาด) แล้วมา บอกคุณว่า “แข็งแรงขึ้น” เพราะนั่นอาจเป็นสาเหตุให้อาคารของ คุณพังลงมาได้ .... เพราะคอนกรีตเป็นวัสดุที่หนักมาก 1 ลูกบาศก์ เมตร หนักตั้ง 2,400 กิโลกรัม หากเขาเทคอนกรีตหนาขึ้นเพียง 5 เซนติเมตร คิดเป็นน้ำหนักที่โครงสร้างต้องรับเพิ่มขึ้นถึง 2,400 x 0.05 =120 กิโลกรัม และตามกฎหมาย บ้านพักอาศัยจะ ออกแบบให้รับน้ำหนักได้เพียง 150 กิโลกรัม/ตร.ม. พอมีน้ำหนัก เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นตั้ง 120 กิโลกรัม ก็เลยเหลือความแข็งแรงที่ โครงสร้างจะรับได้อีกเพียง 105 – 120 = 30 กิโลกรัม...เท่านั้นเอง

  • อุปกรณ์ไฟฟ้าที่บ้านคุณ ทำให้คุณจนได้แค่ไหน ?

หลายคนชอบบ่นว่าค่าไฟฟ้าแพงเหลือใจ และคนอีกหลายคนก็ใช้ ไฟฟ้ากันอย่างไม่บันยะบันยังและคนหลายคนก็นึกว่า เครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่กินไฟมาก และหลายคนก็อาจจะอยาก รู้ว่า อุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านเรานั้นกินไฟและเปลืองสตางค์ขนาด ไหน และหลายครั้งพยายามศึกษา...แต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องเพราะศัพท์แสง ทางเทคนิคมากเหลือเกิน วันนี้เราลองมาดูกันแบบง่ายๆ ดีกว่าว่า อุปกรณ์ไฟฟ้าใกล้ตัวเรากินเงินเราไปขนาดไหน (โดยสมมุติว่าค่า ไฟฟ้าราคา 2 บาทต่อหน่วย และอุปกรณ์นั้นทำงานตลอดเวลา)

ชนิดของอุปกรณ์ ขนาด กินไฟ (Watt) จ่ายเงิน(ต่อชั่วโมง)
พัดลมดูดอากาศ ใบพัด 6” 25 0.05บาท
พัดลมตั้งโต๊ะ ใบพัด 12”70 0.14 บาท
T.V ขาวดำ 14” 50 0.10 บาท
T.V สี 14” 120 0.24บาท
T.V สี 20” 200 0.40บาท
T.V สี 24” 250 0.50บาท
เครื่องปรับอากาศ 1.00 ตัน 1,450 2.90บาท
เครื่องปรับอากาศ 1.50 ตัน 2,060 4.12 บาท
เครื่องปรับอากาศ 2.00 ตัน 3,500 7.00บาท
เครื่องปรับอากาศ 3.00 ตัน 5,200 10.40บาท
ตู้เย็น 4 คิว 70 0.14 บาท
ตู้เย็น 6 คิว 90 0.18 บาท
ตู้เย็น 12 คิว 240 0.48บาท
หม้อหุงข้าวไฟฟ้า 6 ถ้วย 500 1.00 บาท
หม้อหุงข้าวไฟฟ้า 10 ถ้วย 600 1.20 บาท
เตารีดไฟฟ้า (ทั่วไป) 1,000 2.00บาท
เครื่องทำน้ำร้อน (ขนาดเล็ก) 1,500 3.00บาท
เครื่องทำน้ำร้อน (ขนาดกลาง) 2,200 4.40บาท
เครื่องทำน้ำร้อน (ขนาดใหญ่) 4,000 8.00บาท
เครื่องซักผ้า (ทั่วไป) 1,00 2.00บาท

ตัวอย่างที่อ้างถึง เป็นตัวอย่างทั่วๆ ไป ไม่จำเพาะเจาะจงว่าเป็น เครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้ออะไร ....หากแต่ใครเริ่มสนุก หรือเริ่มเสียดาย เงินแล้วลงใช้สูตรนี้ดู ค่าไฟฟ้า = จำนวน Watt x ค่าไฟต่อหน่วย/1,000 บาท/ชั่วโมง โดยดูขนาดสิ้นเปลืองไฟฟ้าเป็น Watt จากหลังหรือใต้ เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ที่ปิ้งขนมปังอันหนึ่งเขียนว่าใช้ไฟฟ้า 800 watt แปลว่ากินเงิน = 800x2.00/1,000=1.60 บาท/ชั่วโมง

  • ไฟฟ้าในครัว น่าจะวางแผนไว้อย่างไร

การป้องกันไฟไหม้เวลาคุณไม่อยู่บ้านอย่างหนึ่งก็คือการ “ปิดไฟ” ที่เรามักเรียกกันว่า “ปิดคัตเอาท์” เพื่อป้องกันไฟช๊อต ...แต่คุณมัก ไม่สามารถปิดมันได้ เนื่องจากตู้เย็นในครัวของคุณจะละลายหมด ...หากเป็นไปได้ขอแนะนำว่า ควรแยกวงจรไฟฟ้าของครัวออกมา ต่างหาก เพื่อคุณจะได้ “ปิดคัตเอาท์” ส่วนต่างๆ ในบ้านได้ทั้งหมด โดยไม่ต้องกังวลว่าอาหารในครัวของคุณจะบูดเสีย มีปลั๊กฝังในเสา ต้องฝังให้ดี...ไม่งั้นบ้านอาจพังได้

ปลั๊กหรือสวิตช์ไฟทั้งหลายจะมีกล่องเหล็กสำหรับสายไฟเข้าออกอยู่ ข้างหลัง ซึ่งมีความหนา (ความลึก) ประมาณ 5 ซม. หาไปฝังอยู่ใน เสาคอนกรีตซึ่งมีคอนกรีตหุ้มเหล็กที่มีความหนามาตรฐานเพียง 2.5 ซม. ต้องระวังให้ดีว่าช่างไฟฟ้าจะไม่สกัดคอนกรีตและเหล็กเสา จนขาดเพื่อฝังกล่องไฟนั้น...เพราะอาจทำให้บ้านทั้งหลังของคุณ พังลงมาได้ เพราะเสาที่โดนตัดเหล็กจนขาดจะรับน้ำหนักของ อาคารไม่ไหว

ขอแนะนำให้ผู้ออกแบบพยายามหลีกเลี่ยงการวางปลั๊กสวิตช์ไฟไว้ที่ เสา หรือหากจำเป็นก็ให้ผู้ก่อสร้างเตรียมการไว้แต่เนิ่น ๆ เช่นการ ฝังกล่องไว้ระหว่างเหล็กเส้น หรือการพอกเสาให้มีความหนามากขึ้น (ซึ่งไม่เป็นการแก้ปัญหาที่ดีนัก) เป็นต้น

  • อะไรกันนะ....MATV, CCTV?

อาจเป็นเพราะเทคโนโลยีและธุรกิจการก่อสร้าง ของเมืองเราก้าว ไปอย่างรวดเร็ว (จนอาจเกินเหตุ) ทำให้เกิดศัพท์แสงใหม่ ๆ เข้ามา มากมาย ของง่าย ๆ บางอย่างเรียกแบบไทย ๆ ฟังแล้วดูไม่โก้ ก็เลย ต้องเรียกเป็นภาษาฝรั่งให้ดูดีขึ้น พอเป็นภาษาฝรั่งก็ต้องเรียกกัน ให้เต็มยศ ก็เลยยาวยืด จึงต้องมีการเรียกเฉพาะตัวอักษรย่อ จึงขอ แปลกันให้ฟังง่าย ๆ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

MATV = Master Antenna Televison (เสาอากาศโทรทัศน์หลักของอาคาร ซึ่งมักอยู่บนดาดฟ้า)

CCTV = Closed Circuit Televison (โทรศัพท์วงจรปิด ที่มีกล้องอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในหรือ นอกอาคาร)

Fire Alarm หรืออุปกรณ์สัญญาณเตือนไฟไหม้มีกี่อย่าง เวลาเกิดไฟไหม้ขึ้นในอาคาร สิ่งที่ตามมาก็คือการเกิด “ควัน” แล” ความร้อน” จึงมาการเตือนว่ามีไฟไหม้ใช้อุปกรณ์ดักจับและส่ง สัญญาณอยู่ 2 ชนิด คือ

  1. Smoke Detector คือ เครื่องดักจับ “ควัน”
  2. Heat Detector คือ เครื่องดักจับ “ความร้อน”

ซึ่งอุปกรณ์ทั้งสองอย่างจะส่งเสียงหรือสัญญาณให้ทราบ บางอย่าง ก็จะส่งเสียง ณ จุดที่เกิดเหตุ (ที่ที่มันโดนติดตั้ง) บางอย่างก็จะส่ง สัญญาณไปสู่ห้องควบคุมโดยตรง ไม่เกิดเสียงที่ตัวมันเองบางอย่าง ก็จะส่งสัญญาณไปที่ห้องควบคุม และรอสักพัก หากยังไม่มีการทำ อะไรก็จะส่งเสียงดังขึ้นที่ตัวมันเองหรือทั้งตึกเลยก็ได้ การเลือกใช้อุปกรณ์เหล่านี้ เป็นเรื่องไม่ยากเย็นนัก เพราะไม่มี อะไรยุ่งยากแต่สิ่งสำคัญที่สุดของมันคือการ “บำรุงรักษา” ...อย่าติดเอาไว้เป็นเพียงเครื่องประดับ!อาคารเท่านั้นครับ!!?

เรื่อง...ส้วม...ส้วม[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

ปัญหาเรื่องส้วมเป็นปัญหายอดฮิตของบ้านเรา ส่วนใหญ่ปัญหาที่ เกิดมักจะเป็นเรื่องการราดส้วมไม่ลง, กลิ่นเหม็น, ส้วมเต็มบ่อย มาก ซึ่งบางบ้านแก้ไขครั้งเดียวก็เสร็จเรียบร้อย บางแห่งแก้ไขกว่า 10 ครั้งก็ยังไม่หาย...ปัญหาดังกล่าวอาจจะสรุปหาสาเหตุหลักๆ ได้ ดังนี้

1. โถส้วมอยู่ระดับต่ำกว่าบ่อเกรอะ ทำให้ระยะลาดของท่อส้วม ไปถึงบ่อเกรอะน้อยมาก โอกาสที่น้ำจะไหลย้อนกลับมามี มาก

2. ท่อส้วมแตกและอาจไปฝัง (หรือเกือบฝังอยู่ในดิน) ทำให้ เกิดกลิ่นเหม็นและราดส้วมไม่ลง หรือบางครั้งราดลง บางครั้งราดไม่ลง 3. ลืมใส่ท่ออากาศให้ส้วมหายใจ เวลาราดน้ำจะราดไม่ลง เพราะน้ำที่ราดไม่สามารถเข้าไปแทนที่อากาศได้

4. หากเป็นระบบบ่อซึม ที่วางไว้ในดินที่มีความชุ่มชื้นมาก แทนที่น้ำจาก บ่อเกรอะ บ่อซึมจะซึมไหลออก กลับ กลายเป็นน้ำซึมเข้า ปัญหาที่ตามมา คือส้วมเต็มบ่อย และ ราดน้ำไม่ลง

5. ขนาดบ่อเกรอะและบ่อซึมเล็กเกินไป (ในการก่ออาร้าง ผู้ออกแบบจะกำหนดขนาดของบ่อเกรอะบ่อซึมไว้ให้มี ขนาดเหมาะสมกับจำนวนคนที่ใช้ส้วมหากใช้อาคารผิด ประเภท หรือผู้รับเหมาทำผิดขนาด ขนาดของบ่อเกรอะ บ่อซึมโตไม่พอ ก็จะทำให้เต็มง่ายและเต็มเร็วเพราะ ช่องว่างน้อย น้ำซึมออกไม่ทัน)

6. มีสิ่งของที่ไม่น่าจะใส่ลงไปในโถส้วมเข้าไปอยู่ เช่น ผ้าอนามัย ถุงยางอนามัย เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะไม่ยอม สลายและอุดตัน

7. ผู้ที่ใช้บ่อเกรอะที่ใช้เครื่องกลช่วยการย่อยสลาย ซึ่งโฆษณา ว่าเป็นถึงส้วม ไม่มีวันเต็ม แต่เดี๋ยวก็เต็ม เดี๋ยวก็เต็ม น่าจะ ลองตรวจเช็คดูด้วยว่า คุณเสียบปลั๊กไฟฟ้าให้เครื่องจักรมัน ทำงานหรือเปล่า!!!

เหตุทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น คุณอาจจะลองตรวจเช็คด้วย ตนได้ แต่หากส้วมของคุณยังมีปัญหาอยู่ ก็ต้องเดินไปหา ผู้รู้จริงๆ แล้วเท่านั้นแหละครับ

ท่อเอสล่อนแบบ สีเหลือง สีฟ้า และสีเทา ต่างกันอย่างไร ว่ากันแบบลูกทุ่งไม่จำเป็นต้องใช้ศัพท์ทางเทคนิคใดๆ ท่อเอ สลอนแยกตามความเข็งแรงได้ดังต่อไปนี้

- ท่อสีเทา เป็นท่อที่อ่อนแอที่สุดใช้ทำท่อน้ำทิ้งทน แรงอัดอะไรไม่ได้มาก

- ท่อสีฟ้า เป็นท่อที่มีความแข็งแรงขนาดกลาง ใช้ทำท่อ น้ำใช้ที่มีแรงอัดของน้ำ เพราะแรงอัดได้มากพอ

- ท่อสีเหลือง เป็นที่ที่มีความแข็งแรงมากที่สุด ใช้ร้อย สายไฟฝังในอาคารได้

  • เราเตือนคุณแล้ว...มีบ้าน....อย่าทำถังน้ำใต้ดิน

หากไม่มีความจำเป็นจริง ๆ (ความจำเป็นในที่นี้หมายถึงท่านไม่ มีที่ดินเพียงพอที่จะวางถังน้ำนบดิน หรือท่านเองทนความน่า เกลียดน่าชังของถังน้ำบนดินไม่ได้จริงๆ) เราขอแนะนำว่าอย่าวาง ถังน้ำ (ถังเก็บน้ำ) ใต้ดินเลยเพราะเวลาถังน้ำหรือท่อน้ำมันแตก... ท่านจะไม่มีทางรู้เลยจนกว่าบิลค่าน้ำจากการประปาฯ จะมาถึง (ถังน้ำจะต้องมีท่อระบายน้ำล้นใต้ดิน เวลาน้ำล้น ก็จะไหลลงสู่ท่อ ระบายน้ำโดยตรง) ...การแตกของถึงน้ำหรือการหักของท่อน้ำอาจ เกิดจากสาเหตุได้หลายประการ เช่น โครงสร้างของถึงน้ าโดยส่วน ใหญ่มักจะแยกออกจากตัวอาคาร และโครงสร้างของถึงน้ ามักจะใช้ เข็มสั้นกว่าตัวอาคาร การทรุดตัวจะไม่เท่ากัน ทำให้เกิดการฉีกขาด

– หักทำลายได้หรือหากมีการก่อสร้างบริเวณใกล้เคียงที่สร้างความ สั่นสะเทือนหรือเกิดการไหล (หรืออัด) ของดิน ถังน้ำของท่านก็จะ วิบัติได้โดยง่าย

  • เชื่อหรือไม่....คุณน่าจะเลือกโถส้วมก่อนการสร้างบ้าน

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเรืองที่ว่านี้เป็นเรื่องจริง เพราะสุขภัณฑ์ใน บ้านเรา ต่างยี่ห้อกันแล้ว จุดหรือระยะการวางท่อเข้าสู่สุขภัณฑ์ก็ แตกต่างกันออกไปด้วย จึงขอแนะนำว่าคุณน่าจะเลือกยี่ห้อ สุขภัณฑ์ (รุ่นเอาไว้ทีหลังยังได้) เสียก่อนที่เขาจะเทพื้นคอนกรีต เพื่อผู้ก่อสร้างจะได้เตรียมวางท่อไว้ให้ถูกจุดบ้านคุณจะได้ไม่มี ปัญหาเรื่องรั่วซึมจากห้องน้ำ หรือปัญหาสุขภัณฑ์ใช้ไม่ได้ไงครับ บ้านคุณน่าจะมีถังเก็บน้ำไว้แน่ๆ แต่ทราบไหมว่าคุณ

น่าจะซื้อถังเก็บน้ำขนาดไหน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

ต้องถามก่อนว่าบ้านคุณมีกี่คน คนหนึ่งจะใช้น้ำประมาณ 200 ลิตร ต่อวัน หากบ้านคุณมี 5 คน และต้องการเก็บน้ำไว้เผื่อสัก 3 วัน ก็คำนวณได้ว่า ถ้าถังน้ำจะมีขนาด = จำนวนคน x 200 ลิตร x 3 ลบ.ม. = 5 x 200 x 3 = 3,000 ลิตร = 3 ลบ.ม. ทั้งนี้ไม่รวมน้ำที่ใช้รดต้นไม้ และสวนขนาดใหญ่นะครับ (สวน เล็กๆ และต้นไม้ไม่มากไม่เป็นไร เพราะเผื่อไว้แล้ว ซื้อสุขภัณฑ์ (Fixture) แล้วอย่าลืมเลือก อุปกรณ์ (Fitting) ด้วย

  • เครื่องสุขภัณฑ์ต่างๆ (Sanitary Fixture) โดยตัวมันเองแล้วไม่

สามารถจะใช้งานได้โดยทันที จำเป็นที่จะต้องมีอุปกรณ์ (Fitting) ประกอบด้วย เช่น อ่างล้างหน้า จะต้องมีก๊อกน้ำและรูน้ำทิ้ง อ่าง อาบน้ำจะต้องมีสะดืออ่าง (รูระบาย) และก๊อกน้ำเป็นต้น ในการเลือกสุขภัณฑ์จำเป็นที่จะต้องเลือกอุปกรณ์ควบไปด้วย อย่า ผัดวันประกันพรุ่ง เนื่องจากอุปกรณ์ที่คุณเลือก อาจจะใส่ไม่ได้กับ สุขภัณฑ์ที่คุณที่คุณเลือก เพราะอาจมีขนาดไม่เท่ากัน ลักษณะ ของเกลียวตัวผู้ตัวเมียต่างกัน ...ปัญหานี้ก็เหมือนกับการซื้อรถยนต์ กับซื้อยางรถยนต์ จะต้องพิจารณาเลือกให้เข้ากันให้ได้

  • แอร์มีกี่ชนิด กี่แบบ และต่างกันอย่างไร

มีคำถามว่า แล้วเจ้าเครื่องปรับอากาศที่เราใช้อยู่ในบ้านเรานี้มีกี่ อย่าง กี่ชนิด กี่ระบบ ก็ขอแยกย่อย โดยสังเขปแบบชาวบ้าน ได้เป็น 3 แบบดังนี้

1. แบบติดหน้าต่าง (Window Type) เป็นแบบที่รวมทุกสิ่งทุก อย่างไว้ในกล่อง ๆ เดียว และติดแขวนไว้ที่ช่องหน้าต่างหรือ ผนังห้อง เป่าลมเย็นเข้าห้อง โผบ่กันออกมาระบายความ ร้อน ขนาด 8,000 – 30,000 BTU หรือภาษาชาวบ้านคือ .7 – 2.5 ตัน (ใหญ่กว่าน้ำทำไม่ได้เพราะเครื่องจะใหญ่และ หนักเกินไป ติดตั้งแล้วช่องหน้าต่างหรือผนังจะรับ น้ำหนักไม่ไหว) กินไฟค่อนข้างมาก และมีเสียงดังกว่าทุก ระบบ แต่สะดวกในการติดตั้ง สะดวกในการเคลื่อนย้าย ติดตั้งรวดเร็ว

2. แบบแยกส่วน (Split Type) เป็นแบบที่ได้รับความนิยม มากที่สุด แยกส่วนเป่าลมเย็นออกจากตัวเครื่องระบายความ ร้อน ขนาดตั้งแต่ 1 – 50 ตัน (ขนาด 1 – 3 ตัน มักไม่มีการ ต่อท่อลมไปจ่ายหลาย ๆ จุด แต่หากมากกว่านั้นอาจมีการ ต่อท่อลมออกจากส่วนเป่าลมไปจ่ายหลาย ๆจุด) แอร์ระบบ แยกส่วนนี้ดีตรงที่ไม่ค่อยมีเสียงดัง (เพราะเครื่องระบาย ความร้อนโดยแยกออกไปวางไว้ที่อื่น) แต่จะยุ่งยากในการ ติดตั้งมากกว่าระบบติดหน้าต่าง เพราะต้องคำนึงถึงการเดิน ท่อระหว่างเครื่องที่แยกส่วน...ที่สำคัญอย่าลืมท่อระบายน้ำ จากที่เป่าลมเย็น (Fan Coil) ไปทิ้งด้วย

3. แบบเครื่องชนิดทำน้ำเย็น (Water Chiller) ซึ่งใช้น้ำเป็น ตัวกลางในการผลิตความเย็น ใช้สำหรับอาคารใหญ่ ๆ มี ขนาดตั้งแต่ 100 ตันขึ้นไป มีความยุ่งยากในการติดตั้ง แต่ จะกินไฟน้อยกว่าชนิดอื่นๆ ...สถาปนิกและวิศวกรโครงสร้าง ผู้ออกแบบแต่เริ่มต้นกรุณาอย่าลืมที่จะจัดเตรียมห้อง เครื่อง และโครงสร้างที่แข็งแรงเพียงพอเพื่อวางระบบนี้ ด้วยนะครับ (โดยการปรึกษากับวิศวกรเครื่องกล)

สำหรับแอร์ระบบที่ชาวบ้านเรียกกันว่า Central Air นั้น ส่วน ใหญ่จะหมายถึงแอร์ระบบสุดท้าย เพราะมีจุดเครื่องระบาย ความร้อนจุดเดียว แต่ส่งผ่านไปหลายจุดทั่วทั้งอาคาร แต่ บางครั้งแอร์ระบบ Split Type ใหญ่ๆ ทีส่งลมเย็นไปได้หลายๆ จุดก็อาจจะเรียกว่าเป็น Central Airได้เหมือนกัน ใช้เครื่องปรับอากาศให้คุ้ม และถูกวิธี

  • เจ้าระบบปรับอากาศกลายเป็นสิ่งที่สำคัญไปแล้วในชีวิตเรา

ปัจจุบัน แต่หลายคนอาจยังเข้าใจผิดใช้เครื่องปรับอากาศเป็น เพียง “เครื่องทำความเย็น” ซึ่งเป็นการใช้งานที่ผิดหน้าที่ เพราะ อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เพราะการจัดเตรียมระบบปรับ อากาศที่ดีจะต้องประกอบด้วยหน้าที่ดังต่อไปนี้

  1. เพื่อลดอุณหภูมิ
  2. ควบคุมความชื้น ไม่ให้แงเกินไป (ผิวแตก) หรือชื้นเกินไป(เหนอะหนะ)
  3. ให้อากาศในห้องเคลื่อนไหว (ทำให้รู้สึกสบายไม่อึดอัด)
  4. ทำให้อากาศสะอาด (ป้องกันฝุ่นและอาจช่วยฟอกอากาศบ้าง)
  5. มีระบบระบายอากาศ (การถ่ายเทอากาศจากภายนอก)

หากใครใช้ระบบปรับอากาศครบ 5 ข้อข้างบน จึงจะทำให้ระบบ ปรับอากาศมีความสมบูรณ์ ดังนั้นใครที่ติดแอร์อยู่ น่าจะสำรวจดูว่า เครื่องหรือระบบปรับอากาศของต้นนั้นทำงานครบทุกหน้าที่ หรือไม่ ถ้าไม่ครบก็น่าจะปรับปรุงเสียเพื่อสุขภาพที่ดีของท่าน เช่นลืมพัดลมระบายอากาศหรือเปล่า เป็นต้น

สีลอก สีขึ้นรา สีวิบัติ เกิดเพราะใช้สีผิดยี่ห้อจริงหรือ ?[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

เชื่อหรือไม่ว่า 80% ของผนังที่สภาพสีเสียหายก่อนกำหนด เกิดจา การเตรียมพื้นผิวไว้ไม่ดี เช่นไม่แห้งสนิท มีสภาพเป็นกรดเป็น ด่าง มีฝุ่นเกาะฯลฯ ดังนั้นในการเลือกใช้สีจึงสมควรเน้นทีการ ควบคุมงานว่าการเตรียมพื้นผิวก่อนทาสีนั้นดีเพียงพอ ตลอดจน การควบคุมให้ทาครบจำนวนครั้งตามที่ บริษัทสีต้องการ (บาง บริษัทไม่ได้นับจำนวนครั้งที่ทาสี แต่วัดที่ความหนาของผิวสี) ไม่ จำเป็นต้องซีเรียสที่ยี่ห้อของสี (แต่สีประเภทที่ทำเองหลังห้อง แถวก็ไม่น่าจะเสี่ยงใช้ เพราะอาจเป็นอีก 20 % ที่เหลือซึ่งเป็น ปัญหาการวิบัติของสีโดยสีจริงๆ

รู้หรือไม่ว่าการวางแนวรั้วหน้าบ้าน กับการวางแนวรั้วข้าง บ้านต่างกันอย่างไร

รั้วข้างบ้านส่วนใหญ่จะติดต่อกับเพื่อนบ้าน ดังนั้นการทำรั้วก็จะ วางแนวกึ่งกลางรั้วไว้ที่แนวแบ่งเขตที่ดิน (จากกึ่งกลางหลักเขตถึง กึ่งกลางหลักเขต) ซึ่งทำให้รั้วนั้นอยู่ในเขตเราครึ่งหนึ่งและอยู่ใน เขตบ้านข้างเคียงอีกครึ่งหนึ่งแต่รั้วหน้าบ้านมักจะต้องติดกับทาง สาธารณะ การวางแนวรั้วจะต้องวางให้ขอบรั้วด้านนอกอยู่ในแนว ของเขตที่ดิน (ห้ามมีส่วนใดส่วนหนึ่งของสิ่งปลูกสร้างล้ำเข้าไปใน ที่สาธารณะโดยเด็ดขาด)

อย่าติดพัดลมระบายอากาศบนผ้าม่าน ความหลงลืมอีกอย่างที่มักเกิดขึ้นโดยไม่ได้เตรียมการเอาไว้ก่อนก็คือ การติดตั้งผ้าม่านเต็มช่องเปิด (ประตู – หน้าต่าง) แล้วลืมเผื่อช่อง สำหรับติดตั้งพัดลมระบายอากาศ ทำให้เวลาจะเปิดพัดลมต้องรูด ม่านก่อน ลำบากและไม่น่าดู...ดังนั้นหากจะติดพัดลมระบายอากาศ ตรงไหน ตรวจดูก่อนว่ามีม่านหรือไม่ หากมีก็ขอให้ออกแบบเตรียม ไว้ก่อนด้วย

หากคุณชอบเตียงใหญ่ๆ ๆ ๆ ๆ คุณต้องระวังอะไร ? ส่วนใหญ่ใครก็ชอบเตียงใหญ่ ๆ แต่บางคนอาจจะชอบมากไป หน่อย เลยไปสั่งให้ช่างไม้ช่างเฟอร์นิเจอร์ทำเตียงขนาดพิเศษ พอเอาเข้าไปวางในห้องนอนเสร็จ เดินหาซื้อที่นอนอยู่ 3 เดือนก็ หาไม่เจอที่นอนขนาดเดียวกับเตียงที่สั่งทำ...ก็เลยขอให้ระวังไว้ ด้วยว่าที่นอนสมัยนี้เขามีขนาดแน่นอน ขนาดผิดประหลาดไป เขาไม่ทำกันแล้ว ระวังหน่อยนะค่ะ

  • ปลูกต้นไม้ใหญ่ อย่าลืมค้ำยัน

ปัจจุบันนี้การนำเอาต้นไม้ที่เจริญเติบโตแล้วย้ายมาปลูก กำลัง เป็นที่นิยมมากเพราะแม้จะมีราคาแพงกว่าต้นไม้ขนาดเล็กๆ แต่ก็ เป็นการซื้อเวลาที่ดี แต่ปัญหาของต้นไม้ที่ปลูกแล้วโตเลยนี้ก็คือ การไม่มีรากแก้ว และมีรากฝอยสำหรับยึดเกาะดินน้อย ยามมีลมแรง กรรโชก ทำให้เอนเอียงล้มลงได้ จำเป็นที่จะต้องเตรียมค้ำยันลำ ต้นไว้เสมอ

ในกรณีที่เป็นต้นไม้ไม่ใหญ่นักและยังอยู่ในกระถาง การปลูก ระยะแรก ๆ แนะนำให้เพียงทุกก้นกระถางออกแล้วลงดิน ให้ปาก กระถางเป็นตัวยึดเกาะดินกับต้นไม้เอียงในระยะแรก เมื่อราก ต้นไม้เดินดีแล้วจึงค่อยเอาส่วนปากกระถางออก (การทำแบบนี้จะ ดีมากสำหรับการปลูกต้นไม้ใน Flower Bed บนอาคารสูง ๆ ) ปลูกต้นไม้บนดาดฟ้า ต้องเตรียมการไว้ให้ดี การปลูกต้นไม้ไว้บนดาดฟ้า หรือที่เรียกภาษาฝรั่งว่า Roof Garden เป็นการเอาวิทยาการและเทคโนโลยีไปฝืนธรรมชาติอย่างหนึ่ง มี ข้อความคำนึงไว้สัก 3 เรื่อง

1. แน่ใจว่าเตรียมโครงสร้างที่แข็งแรงเพียงพอไว้ เพราะโดย ปกติของอาคารธรรมดาจะเตรียมโครงสร้างไว้รับน้ำหนัก ประมาณ 200 – 400 กิโลกรัม/ตร.ม. แต่หากเป็นสวนลอย ฟ้าน่าจะเตรียมไว้สัก 700 – 1,500 กิโลกรัม/ตร.ม.

2. แน่ใจว่าเตรียมความลึกสำหรับดินและกรวดเอาไว้ ซึ่งน่าจะ มีความหนาไม่น้อยกว่า 40 เซนติเมตร (ดีที่สุดประมาณ 1.00 เมตร)

3. แน่ใจว่าจัดเตรียมน้ำสำหรับรดต้นไม้ และทีสำคัญที่สุด คือระบบระบายน้ำจะต้องสะดวก และไม่อุดตัน

4. แน่ใจว่าแม้จะมีลมแรงมากระทำ (บางที่อาจถึง 180 กิโลกรัม/ตร.ม.) ต้นไม้ที่ปลูกจะไม่ปลิวว่อน ขุดรากถอน โคน

5. แน่ใจว่า...คุณมีปัญญาขน ต้นไม้ – ดิน – กรวด ขึ้นไปปลูก และ ปรับปรุง

อยากปลูกต้นไม้บนตึก (Flower Bed) ต้องไม่ลืมอะไร หากจะมีการปลูกต้นไม้บนอาคาร พึงต้องจำไว้เสมอว่าต้นไม่ทุก ชนิดต้องการน้ำและการบำรุงรักษา ดังนั้นสิ่งที่ไม่น่าจะลืมก็คือ

1. จะเอาน้ำที่ไหนมารด ไม่ใช่ต้องหิ้วกระป๋องน้ำผ่าน ห้องนอนที่ปูพรมให้สกปรกเลอะเทอะทุกวัน...น่าจะเตรียมก๊อก น้ำเอาไว้รดน้ำด้วย

2. เมื่อรดน้ำแล้ว น้ำที่ไหลออกจากกระบะต้นไม้จะไปทาง ไหน หากน้ำไม่มีทางออก รากก็จะเน่าตาย แต่หากน้ำออกได้แล้ว ไปลงท่อระบายน้ำทั่วไปที่ไม่ได้กันหรือเตรียมการไว้กันเศษดิน ท่อก็จะตัน (แล้วน้ำก็จะท่วม)

3. กระบะต้นไม้จะต้องมีความชื้น (ไม่งั้นต้นไม้ตาย) หาก กระบะต้นไม้ใช้ผนังเดียวกันกับผนังห้อง ความชื้นก็จะซึมผ่าน ผนังไปทำให้ผนังอีกด้านชื้นเกิดราหรือสีลอก...ดังนั้นน่าจะเตรียม วิธีการนี้ไว้ด้วยว่าไม่น่าจะใช้ผนังกระบะต้นไม้เป็นผนังเดียวกับ ห้อง หรือแยกผนังออกจากกันและมีกันซึม

4. เมื่อต้นไม้ต้องการบำรุงรักษา หรือหากตายไปก็ต้องเปลี่ยน ต้นไม้ ทำให้ต้องมมีพื้นที่หรือที่ยืนเพียงพอสำหรับจับต้องต้นไม้ นั้นได้ อย่าวางกระบะต้นไม้ที่ต้องเอื้อมตัวนอกตึกมากนัก หรือต้อง ใช้บันไดพาดไปทำงาน (บนตึกชั้นที่ 20)

อยากปลูกต้นไม้ในบ้านให้ถูกกายสบายใจ ต้องเตรียมอะไรก่อน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

เวลาปลูกบ้านเสร็จจะมีเศษหิน เศษทรายกองอยู่ในบริเวณที่จะ เป็นสนามหญ้าหรือที่คุณคิดจะปลูกต้นไม้เต็มไปหมด ซึ่งหาก ปล่อยทิ้งไว้ไม่ขุดหรือขูดออกเวลาคุณปลูกต้นไม้ก็ไม่งอกงาม เวลา เดินเล่นในสนามหญ้าก็อาจมีเศษหินมาตำเท้าได้...อย่าลืมควบคุม และบอกให้ผู้ก่อสร้าง ทำความสะอาดเสียนะครับ

  • เลือกวัสดุปูพื้นอะไรดี

วัสดุปูพื้นบ้านเราอาจแยกใหญ่ ๆ ได้เป็น 5 -6 ประเภท วัสดุ เหล่านี้แต่ละอย่าง จะมีจุดเด่น จุดด้อยต่างกัน และมักเป็นปัญหา ไม่จบสิ้นสำหรับท่านเจ้าของบ้านว่าจะเลือกอะไรดี?

1. พื้นไม้จริง เป็นของธรรมดาพื้นบ้านมานมนากาเล แต่ ปัจจุบันกลายเป็นความใฝ่ฝันที่หลายคนอยากมี แต่ก่อน จะวางพื้นไม่บนตงและคานทำหน้าที่เป็นโครงสร้างไป ด้วย แต่ส่วนใหญ่ตอนนี้มักจะปูบนพื้นคอนกรีตอีกที (ซึ่ง ต้องระมัดระวังวิธีกรรมในการปูให้ถูกต้อง ต้องมีการวาง ระแนงไม้ฝังในคอนกรีตและสูงกว่าผิวคอนกรีตประมาณ 2 ซม. เพื่อความยืดหยุ่นและไม่โก่งงอจากการอัดเข้าลิ้น ภายหลัง) ราคาพื้นไม้นี้จะแพง แต่ให้ความรู้สึกดีมาก

2. พื้นปาเก้ คือชิ้นไม้เล็ก ๆ ที่ปูบนพื้นคอนกรีต มีทั้งแบบ เข้าลิ้นรอบ และไม่เข้าลิ้น ราคาจะถูกกว่าพื้นไม้ธรรมดา สิ่ง ที่ต้องระวังในการปูก็คือคอนกรีตจะต้องแห้งสนิทพร้อม ทำกันซึมไว้ด้วย กาวจะต้องดี ปูปาเก้แล้วต้องทิ้งไว้นานๆ เพื่อให้กาวแห้งก่อนขัดพื้นและต้องไม้อัดแผ่นปาเก้แน่น เกินไป ไม่เช่นนั้นอาจโก่งงอระเบิดได้

3. กระเบื้องเคลือบ ราคาจะมีตั้งแต่ตารางเมตรละ 200 บาท จนถึง 5,000 บาทแล้ว แต่ชนิดของกระเบื้อง ใช้ปูบน พื้นคอนกรีตที่ไม่จำเป็นต้องแห้งสนิท แต่ต้องกันซึมไว้ เรียบร้อย การปูกระเบื้องเล่นลายเป็นสิ่งที่ต้องระวังมาก เพราะกระเบื้องแต่ละแผ่น แต่ละยี่ห้อจะมีขนาด – ความ หนาไม่เท่ากัน ทำให้น่าเกลียดกว่าที่ออกแบบไว้มากที่ เดียว ปัญหาของการปูกระเบื้องก็คือกระเบื้องมักขาดตลาด (ในลายที่ต้องการ) และหากเสียหายแตกหักภายหลัง จะหา อะไหล่มาทดแทนไม่ได้ (ควรเก็บสต็อคกระเบื้องที่ใช้ไว้ บ้าง)

4. หินอ่อน หรือแกรนิต เป็นของที่นิยมใช้กันมากขึ้น เพราะราคาเริ่มใกล้เคียงกับวัสดุปูพื้นอย่างอื่น สิ่งที่ต้อง ระวังคือการเตรียมพื้นผิวจะต้องเผื่อระดับปูนทรายไว้ให้ หนา (ประมาณ 2 – 3 ซม.) ไม่เช่นนั้นพื้นหินอ่อนจะ ปรับระดับไมได้ และต้องคิดไว้เสมอว่า หินอ่อนเป็นของ ธรรมชาติซึ่งคุณจะเลือกลายดังใจนึกไม่ได้ และอย่าปูหิน อ่อนตากแดด ไม่เช่นนั้นจะเป็นฝ้าเป็นฟางหมด

5. พื้นพรม เป็นวัสดุที่สวย นุ่มนวล ไม่แพงนัก หรูหรา ติดตั้ง ง่าย แต่บำรุงรักษายาก และมีอายุการใช้งานสั้น หากต้องการ เปลี่ยนบรรยากาศบ่อยๆ หรือเร่งงานก่อสร้าง พรมเป็นวัสดุ ที่น่าใช้ทีเดียว

6. กระเบื้องยาง เป็นสิ่งสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ มีทั้งเป็น แผ่นเล็ก ๆ และเป็นผืนใหญ่ ทนทานดีทีเดียวเมื่อเทียบ กับราคา บำรุงรักษาไม่ยากนักแต่ให้ความรู้สึกที่เป็น สำนักงานมากไปหน่อย ปรับเปลี่ยนง่าย แต่ต้องระวังให้ดี ว่าพื้นผิวที่เตรียมไว้ปูกระเบื้องยางจะต้องเรียบดีเป็น ระดับต้องแห้งและกันซึม ไม่เช่นนั้นเมื่อใช้งานแล้วจะ เป็นหลุม หรือหลุดร่อน

ปาเก้บ้านคุณขัดแล้วดูเป็นลอนน่าเกลียดหรือเปล่า หากปาเก้ที่บ้านคุณดูเป็นลอนน่าเกลียด แม้ว่าคุณสั่งให้ช่างขัด ปาเก้ให้แล้วตั้ง 2 – 3 ครั้ง (และช่างก็พยายามอย่างที่สุดแล้ว) เราขอ แนะนำว่า...คุณไม่น่าจะไปขัดมันอีกเพราะสภาพไม้และฝีมือช่าง ในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว อาจต้องมาแก้ที่ปลายเหตุว่าสีที่คุณทา พื้นนั้นเป็น “มันวาว” หรือเปล่าหากใช้แลคเกอร์หรือโพลียูริเทน มันทาพื้น ก็ขอให้เปลี่ยนเป็นวานิชหรือยูริเทนชนิดด้าน (ไม่ เงา) แทน จะเป็นการลดแสงสะท้อนลง ทำให้พื้นของคุณดูเรียบ ไม่เป็นลอนได้

  • หินอ่อนเป็นฝ้าเป็นฝาง แก้ไขอย่างไรดี

หากหินอ่อนเป็นฝ้าไม่ต้องเสียเวลาเช็ดถู ไปจ้างช่างหินอ่อนเขา มาขัดหน้าใหม่ และเมื่อขัดเสร็จแล้วก็ระวังหน่อยว่าไม่ให้ฝุ่นเกาะ หรือเดินด้วยรองเท้าที่มีฝุ่นมาก ไม่ให้โดนแสงแดดโดยตรงมาก เกินไป เพราะไม่อย่างนั้นเจ้าหินอ่อนมันก็จะเป็นฝ้าเป็นฟาง ใหม่ละครับ

  • ผนังรั่วแล้วออกไปซ่อมไมได้ จะแก้ไขยังไงดี

บ้านหรือห้องแถวหลายหลังที่อยู่ติดกับที่ดินคนอื่น อาจอยู่ใน สภาพที่ไม่สามารถออกไปข้างนอกดูแลบำรุงรักษาได้ หรืออาคารที่ มีความสูงมาก การบำรุงรักษาจากภายนอกลำบาก หรืออาคารทั่วไป หากมีปัญหาว่าผนังรั่วจากภายนอกออกไปซ่อมแซมรักษาไม่ได้ หรือพยายามแก้ไขมาหลายครั้งแล้วแต่แก้ไม่ได้ ขอแนะนำให้ ดำเนินการดังนี้

ทำผนังภายในขึ้นมาอีก 1 ชั้น ทำพื้นระหว่างผนังทั้งสองให้ลาด เอียง แล้วเจาะรูให้น้ำไหลออก (ดูภาพประกอบ) จะแก้ไข (แบบน้ำ ขุ่น ๆ) ได้ทันที

จับเซี้ยม จับฉาก จับปุ่ม คืออะไร (แถมวิธีก่ออิฐให้ร้าว) การจับเซี้ยมจับฉากจับปุ่มเป็นกรมวิธีจัดเตรียมระดับ – ระยะก่อน การฉาบปูนลักษณะเป็นปุ่มปูนทรายที่แสดงถึงแนวเส้นของ ผนัง หรือมีระนาบแบนให้เห็นความหนาของผิวปูนที่จะฉาบลง ไป การฉาบปูนที่ถูกกรมวิธี ช่างปูนจะต้องจับเซี้ยม – จับฉาก – จับปุ่มก่อนที่จะฉาบปูนเสมอ...หากท่านเห็นว่าช่างปูนใดฉาบ ผนังบ้านท่านโดยไม่ทำเซี้ยม – ฉาก – ปุ่มเสียก่อน ก็น่าจะบอกผู้ ก่อสร้างให้เปลี่ยนช่างปูนได้แล้ว

การก่ออิฐที่ถูกกรมวิธีนั้นจะต้องดำเนินการดังนี้[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
  1. อิฐจะต้องชุบน้ำให้ชุ่มน้ำเสียก่อน ไม่เช่น อิฐจะดูดซึมน้ำปูน จนปูนก่อไม่ทำหน้าที่ยึดเกาะที่ดี
  2. การก่ออิฐจะต้องไม่ก่อสูงมากนักในทีเดียว จะต้องทิ้งไว้ให้ปูนก่อยุบตัวลงมาแล้วจึงก่อต่อไปจนหมด และทิ้งช่องว่างระ หว่างผนังกับท้องพื้นด้ำนบ นไว้หน่อยก็จยิ่งดีภายหลังเมื่อผนังทรุดตัวดีแล้วจึงก่ออิฐก้อนสุดท้ายได้
  3. เมื่อก่ออิฐเสร็จแล้วต้องทิ้งไว้อย่างน้อย 1 วันให้ผนังอยู่ตัวและความร้อนจากปูนก่อเย็นตัวลง จึงเริ่มจับเซี้ยมจับฉากจับปุ่ม แล้วฉาบปูน
  4. การฉาบปูนต้องมีส่วนผสมที่ดี และน่าผสมน้ำยาเคมีประสานพิเศษกันแตกและห้ามฉาบปูนหนาเกินไปเพราะความร้อนของปูนชั้นในจะระเหยดันออกมายังชั้นนอก และทำให้ปูนฉาบนั้นแตกได้
  5. การฉาบปูนที่ดี ไม่น่าใช้ฟองน้ำที่แห้งเกินไป เพราะจะดูดน้ำปูนออกจากปูนฉาบ หากมีงบประมาณเพียงพอ น่าให้ใช้วิธี “ปั่นแห้ง” ซึ่งช่างประเภทนี้กำลังจะหมดจากประเทศไทยเราแล้ว
  6. หากผิวปูนฉาบมีรอยแตกคลายลายงา ไม่ใช่เรื่องที่คอขาดบาดตาย ทิ้งเอาไว้สักพักแล้วใช้ทาสีแต่ง (โป๊ว) ลงไป ผิวแตกลายงานั้นจะหายไปเอง
  • เลือกกระเบื้องห้องน้ำทั้งพื้น และผนัง ต้องยี่ห้อ – รุ่นเดียวกัน

เป็นเรื่องแปลกแต่จริงของวงการผลิตกระเบื้องบ้านเรา ที่แต่ละ ยี่ห้อ และแต่ละรุ่น (แม้จะยี่ห้อเดียวกัน) จะมีขนาดไม่เท่ากัน ถึง แม้แต่ยี่ห้อเดียวกันรุ่นเดียวกัน – สีเดียวกัน แต่เผากันคนละครั้ง ขนาดก็อาจไม่เท่ากันได้

เพื่อป้องกันปัญหาของแนวกระเบื้องพื้น และแนวกระเบื้องผนัง (ที่เลือกขนาดกระเบื้องขนาดเท่ากัน) ไม่ตรงแนวกัน ...ในการ เลือกกระเบื้องน่าจะเลือกกระเบื้องผนังและกระเบื้องพื้นที่ยี่ห้อ เดียวกันและรุ่นเดียวกันเสมอ แต่ก็ควรระวังอย่าใช้กระเบื้องที่ใช้ สำหรับปูผนังอย่างเดียวมาปูพื้น เพราะจะลื่นหกล้มง่าย (ส่วนการ เอากระเบื้องพื้นมาปูผนังไม่เป็นไร

  • กระจกมีกี่ชนิด แล้วจะเลือกใช้อย่างไร

กระจกมีหลายชนิดแน่นอนแต่หากเราจะแบ่งความแข็งแรงของ กระจกเพื่อการใช้งานให้ถูกที่และไม่บินลงมาทำอันตราย ก็น่าจะ แบ่งออกได้เป็น 4 ชนิดคือ

1. กระจกธรรมดา หรือที่เรียกภาษาเทคนิคว่า Anneal Glass เวลาแตกจะเป็นปากฉลามซึ่งอันตราย แต่ยังโชคดีที่รอยแตกจะวิ่ง เข้าสู่กรอบทำให้ส่วนใหญ่ไม่หล่นลงมาโดยทันที่ทันใด มองจาก ภายนอกไม่เป็นลอนดูเรียบสวยงาม

2. กระจก Tempered คือเอากระจกธรรมดาทำให้ร้อนเกือบ หลอมละลายใหม่ แล้วทำให้เย็น จะเป็นการเพิ่มความแข้งแรง เวลาแตกจะแตกกระจายเม็ดเล็กๆ ไม่เป็นอันตรายมาก แต่จะไม่มี รอยแยกวิ่งเข้ากรอบทำให้เมื่อแตกแล้วจะร่วงหล่นลงมาทันที ดู จากภายนอกจะเป็นลอนเล็กน้อยจึงดูหลอกตาในบางมุม

3. กระจก Heat Strengthen จะคล้ายกับกระจกสองอย่างแรก ปนกัน โดยนำกระจกธรรมดามาให้ความร้อน (แต่ไม่ถึงขนาด Tempered Glass) จึงมีความแข็งแรงมากขึ้น (ไม่เท่ากับ Tempered) เวลาแตกจะแตกแบบ Float มองดูภายนอกเป็นลอน บ้างบางครั้งแต่ไม่มาก

4. กระจก Laminated ซึ่งความจริงไม่น่าจะเปรียบเทียบกับ กระจกทั้ง 3 อย่างแรก เพราะไม่ใช่แตกต่างกันที่วิธีผลิต แต่เป็น การเอากระจก (อะไรก็ได้) มารีดประกบติดกันด้วยแผ่นฟิล์ม ทำให้ เกิดความแข็งแรงมากขึ้น เวลาแต่...แผ่นฟิล์มจะทำหน้าที่ยึดติด ไม่ให้ร่วงหล่นลงมาได้

จากกระจกที่แบ่งตามความแข็งแรงในการใช้ดังกล่าวข้างต้น ก็ อาจจะแยกกระจกออกเป็นไปตามความสวยงามหรือผ่านวิธีกรรม อื่นๆ ได้อีกต่อไป เช่นทำให้ออกาเป็นกระจกกรองแสง กระจก สะท้อนแสง กระจกเงา ฯลฯ .... แต่นั่นคงไม่ใช่ความสำคัญประการ แรก เนื่องจากเราสามารถนำกระจก Float, Tempered, Heat Strengthen, หรือ Laminated มาทำเป็นกระจกตัดแสงกระจก สะท้อนแสงหรือกระจกเงาได้ไม่ยากนัก

  • อะไรนะ กระจกเจียรปรี?

กระจกปรี คือกระจกที่ขัดขอบด้านข้างให้เอียงลาดลง (ส่วนใหญ่ทั้ง 4 ด้าน) เพื่อแสงเกิดหักเหแล้วเหมือนแก้วเจียระไน ราคาจะแพง กว่ากระจกธรรมดาประมาณตารางฟุตละ 30 – 50 บาท แต่มีข้อควร ระวังว่า

  1. ขอบกระจกที่เจียรแล้วจะบางมาก ติดตั้งไม่ดีจะทำให้บิ่นและแตกง่าย
  2. อย่าใช้มากเกินไป (แม้จะรวยมาก็ตาม) ใช้เพียงบางจุดไม่อย่างนั้นแสงจะหักเหลายตาไปหมด...อาจเป็นโรคประสาทหลอนได้ฝ้าเพดานยิบซั่มบอร์ดฉาบเรียบ ไม่น่าทำกว้างขวาง – ยาว – ใหญ่ นักหนาปัจจุบันช่างฝีมือก่อสร้างที่ดีๆ และได้มาตรฐานเมืองไทยเราขาดแคลนมากทำให้รอยการออกแบบใดๆ ที่ต้องใช้ช่างฝีมือเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นสิ่งที่พึงหลีกเลี่ยงการติดตั้งฝ้าเพดานและการฉาบฝ้าเพดานยิบซั่มบอร์ดที่พื้นที่ขนาดใหญ่หรือยาวมาก เช่นฝ้าเพดาน
ห้องโถงขนาดใหญ่ หรือฝ้าเพดานทางเดิน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

Corridor ที่ยาวมากๆ (มากกว่า 15 เมตร) เป็นสิ่งที่ไม่น่าทำเพราะจะเป็นลอนเป็นคลื่น ไม่น่าดู แต่หากจำเป็นก็น่าจะออกแบบให้มีเส้นมีบัวหยุดเป็น จังหวะเพื่อลดพื้นที่ (และความยาว) ลงบ้าง....จะลดความน่าเกลียด ลงไม่น้อยเลย

จะติดมอบหรือบัวฝ้าเพดาน อย่าลืมโครงเคร่าไม้โดยรอบ แม้ว่าคุณอาจจะกำหนดในแบบว่าฝ้าเพดานของคุณใช้โครงเคร่า ฝ้าเพดานเป็น โครงเหล็กหรือโครงอลูมิเนียม แต่ถ้าคุณต้องการให้ ฝ้าเพดานของคุณมีมอบฝ้าเพดาน หรือบัวฝ้าเพดานติดระหว่าง รอยต่อของผนังกับฝ้า คุณอย่าลืมบอกช่างว่าเขาต้องตีเคร่าหรือแนว ไม้โดยรอบห้องเหนือฝ้าเพดาน เพราะไม้ตัวนี้จะเป็นตัวรองรับ ตะปูที่ใช้ติดมอบฝ้า (บัวฝ้า) หากไม่มีไม้ตัวนี้การติดมอบฝ้าจะทำได้ ยาก และอาจต้องใช้กาวติด ซึ่งจะกระเดิดได้ง่ายหรือหากมอบฝ้านั้น เป็นไม้ก็จะบิดงอได้ภายหลัง

  • ห้องคุณมีเสียงก้อง...จะทำอย่างไรดี

ห้องทำงาน ห้องประชุม หรือบางทีก็ห้องนอนของคุณ อาจมีเสียง “ก้อง” รบกวนการพูดจาหรือการฟังเพลงดูโทรทัศน์ ซึ่งบางทีอาจ เป็นเพราะห้องคุณโล่งเกินไป ทั้งพื้น ผนัง และฝ้าเพดาน ..หาก เป็นเช่นนั้นลองแก้โดยวิธีง่ายๆ โดยการติดตั้งแผ่น Acoustic Board (แผ่นใยสังเคราะห์มีรูพรุน ช่วยเรื่องกันเสียงและความ ร้อน) ซึ่งหาซื้อไม่ยากนักในท้องตลาด ติดเข้าที่ฝ้าเพดานหรือ ผนังบางส่วนจะช่วยได้มากทีเดียว (การติดตั้งไม่ยากเลย สามารถทำ ด้วยตนเองได้เพราะน้ำหนักเบา ใช้แม็กเย็บกระดาษติด เย็บติดก็ เพียงพอแล้ว)

  • อย่าลืมสั่งซื้อขาวงกบห้องน้ำให้ยาว ขาวงกบห้องธรรมดา

หากห้องน้ำของคุณลดระดับพื้นลงต่ำกว่าห้องธรรมดา และประตู ห้องน้ำมักจะต้องเปิดเข้าในห้องน้ำเพื่อป้องกันน้ำกระเซ็นออก นอกห้อง ในขณะเดียวกันคุณก็ (น่าจะ) ต้องการให้ระดับหลังวงกบ หรือชอบบานประตูด้านบนของประตูคุณทุกบานในห้องอยู่ใน ระดับเดียวกันเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและงดงาม ทำให้ ความยาว (ความสูง) ของขาวงกบคุณซึ่งวางอยู่ในห้องน้ำจะต้องยาง กว่าขาวงกบธรรมดา ซึ่งจะยาวขึ้นเท่ากับความลึกของการลดระดับ ห้องน้ำ เช่นห้องน้ำคุณลดระดับ 10 ซม. และวงกบทั่วไปคุณสูง 2.00 เมตร คุณต้องสั่งซื้อวงกบสำหรับห้องน้ำขนาด 2.10 เมตร เป็นต้น

  • คุณติดประตูบานเกล็ดที่ห้องน้ำผิดด้านหรือเปล่าเอ่ย

เชื่อหรือไม่ว่า 90% ของประตูบานเกล็ดห้องน้ำในประเทศไทย นั้นติดผิดด้านเอาด้านในติดออกมาแทนด้านนอก เพราะไปเคย ชินกับการติดบานเกล็ดของประตูบ้านห้องอื่น ๆ ทั่วไป เป้าหมาย ของการติดประตูบานเกล็ดบ้าน (โดยเฉพาะด้านนอก) คือป้องกัน น้ำฝนจากด้านนอกกระเด็นเข้ามาในบ้าน บ้านเกล็ดจึงปรับให้ หันลงออกสู่ด้านนอก แต่ประตูบ้านเกล็ดห้องน้ำมีจุดประสงค์คือ การกันน้ำจากในห้องน้ำกระเด็นออก และป้องกันสายตาคน สัปดนแอบดูคนในห้องน้ำ จึงทำบานเกล็ดให้หันเอียงเข้า ภายในห้องน้ำ เพื่อไม่ให้น้ำในห้องน้ำกระเซ็นออกมา และคน สัปดนจะก้มลงดูเหตุการณ์ภายในห้องน้ำไม่ได้ ลองดูห้องน้ำบ้าน คุณสักนิดเถอะครับว่าติดผิดหรือเปล่า...เอหรือคุณก็เป็นอีกคน หนึ่งที่ชอบทำอะไร Sexy ที่หน้าประตูห้องน้ำ ประตูหน้าต่าง Aluminium มีสีอะไรบ้าง และราคาเป็นอย่างไร กรอบประตูหน้าต่างอลูมิเนียมสามารถแยกได้เป็น 5 ชนิดสีด้วย และแยกราคาตามความถูกแพงได้ดังต่อไปนี้

  1. สีขาว หรือสีธรรมชาติ (Code NA) ราคาถูกที่สุด
  2. สีชา หรือ สีทอง (Code 512) ราคาแพงขึ้น 10 %
  3. สีน้ำตาล หรือ สีทองอมดำ (Code 514) ราคาแพงขึ้นกว่า 512อีก 10%
  4. สีดำ (Code 517) ราคาแพงกว่า 514 อีก 10%
  5. สีหลากสี ยกเว้นจากที่กล่าวมาข้างต้น ราคาจะแพงขึ้นจาก517 ประมาณ 50 % เพราะต้องใช้กรรมวิธีพิเศษในการอบสี


  • ไม้เต็งมาเลย์ทำวงกบได้ไหมเอ่ย

ไม้เต็งมาเลย์หรือไม้เนื้อแข็งมาเลย์ (ที่ยังไม่ผ่านการอบอัดอย่างถูก วิธี) เป็นไม้ที่ไม่น่าจะใช้ทำวงกบประตูหน้าต่างโดเด็ดขาด เพราะ จะ “ยืดหดและบิดงอ” เนื่องจากสภาพเมืองมาเลย์หรือภาคใต้นั้น อากาศจะชื้นและฝนตกมาก ต้นไม้รับน้ำหนักมากจะกลวง – นิ่ม – ยืดหดง่าย ต่างกับเต็งหรือไม้เนื้อแข็งอีสานบ้านเฮา ที่แห้งแล้ง เหลือเข็น (แม้จะมีโครงการอีสานเขียวแล้วก็ตาม) ต้นไม้จะโตช้า และจะแน่น – แกร่งดีจ้ะ

ประตูบานเลื่อนสวนกัน ไม่จำเป็น...อย่าใช้เพราะอะไร ประตูบานเลื่อนสวนกัน นอกจากประโยชน์ที่ทำให้การตกแต่ง ภายในสามารถขยบได้บ้างแล้ว ก็ดูเหมือนไม่มีประโยชน์อื่นอีกเลย ...แต่สิ่งที่ไม่ดีก็คือ

  1. ราคาแพง
  2. ไม่แข็งแรง โดยเฉพาะ
  3. เปิดรับลมได้เท่ากับบานเลื่อนที่เลื่อนได้ข้างเดียว (อีกข้างเป็นกระจกติดตาย)
  4. ถ้ามีบานมุ้งลวดด้วย อาจทำให้วงกรอบประตูหนากว่าผนังก่ออิฐปกติดูตลก

ทำไม...ขอบวงกบประตูหน้าต่างมักจะมีรอยแตกร้าว ปัญหานี้เป็นปัญหาคู่วงการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไรยุคไหน ที่ ขอบวงกบมักจะมีรอยร้าวประดับทั่วไป ปัญหาน่าจะเกิดจากเหตุ ดังต่อไปนี้

1. ไม่มีเสาเอ็น – ทับหลัง (เสาและคานคอนกรีตเล็กๆ) รัดรอบ ช่องเปิดเพื่อป้องกันการยืดหดตังของวงกบ ไม่กระทบกับผนังก่อ อิฐ

2. หากเป็นผนังคอนกรีต (ไม่ใช่ผนังก่ออิฐ) จึงไม่ต้องมีเสา เอ็น – ทับหลังฉาบปูน แล้วก็ยังแตกร้าว อาจเป็นเพราะไม่มีเหล็ก ขวางที่มุมกันแตกก็ได้

3. ไม้วงกบมีขนาดเล็กเกินไป เมื่อกระทบกบเสาเอ็น – ทับ หลังที่มีขนาดโตเกือบเท่าขนาดไม้วงกบ ทำให้บริเวณเสาเอ็น – ทับหลังนั้นมีปูนฉาบบางกว่าปูนฉาบของผนังทั่วไป

4. ไม่ได้ผสมน้ำปูนขาว หรือน้ำยาเคมีกันแตกร้าวในปูนฉาบ ดาดฟ้ารั่ว แก้ไขอย่างไร?

หากดาดฟ้ารั่ว ข้อหน้าข้อแรกก็คืออย่าเทปูนทับหน้าลงไปอีก เพราะนั่นไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา (แต่จะสร้างปัญหามากขึ้นเพราะ ยังรั่วเหมือนเดิมและเพิ่มน้ำหนักให้โครงสร้างโดยไม่จำเป็น) ลองเอาน้ำราดพื้นดาดฟ้า (ตอนแดดออก) ดูว่ามีรอยแตกที่พื้น ดาดฟ้าหรือเปล่า ถ้ามีก็แสดงว่านั่นเป็นช่องที่น้ำเล็ดรอดลงไป ข้างล่าง หากไม่มีก็น่าจะเกิดจากรอยต่อตรงขอบของผนังดาดฟ้า (ซึ่งน่าจะมีรอยแสดงไว้) ....ลองเอาฟลิ้นโคทยาแนวแตกเหล่านั้นดู แล้วขังน้ำ หากน้ำไม่รั่วแล้ว ก็มั่นใจว่าหาที่มาได้ ...แต่อย่าเพิ่งหยุด แค่นั้น ต้องทำอย่างอื่นต่อไป โดยกาเรียกบริษัททำระบบกันซึม (อย่าใช้ผู้รับเหมาธรรมดา) มาทำระบบกันซึมให้ระบบกันซึมนี้จะ มีทั้งน้ำยาทาและแผ่นยางบางๆ วางซ้อนทับกันหลายชั้น...แล้วจะ เทปูนทับหน้าเพื่อเข้าใช้ดาดฟ้าสะดวกขึ้นหรือไม่ก็สามารถทำได้ ภายหลัง หรือจะใช้แผ่น Solar Slab ปูทับไปก็แล้วแต่เลือก ท่านรู้หรือเปล่าว่า...หลังคาเหล็กที่พังกันลงมาเป็นบ่อยๆ นั้นเกิดจากเหตุไหนบ้าง

  • โดยทั่วไปหากวิศวกรโครงสร้างออกแบบไม่ผิด

โครงสร้างหลังคา เหล็กทั้งหลายเมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วโอกาสจะพังลงมานั้น น้อยมาก แต่ส่วนใหญ่มักจะพังลงมาตอนที่กำลังก่อสร้าง เหตุสำคัญก็เพราะวิศวกรผู้ออกแบบ อาจจะออกแบให้โครงสร้างนี้ อยู่ได้เมื่อก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว การยึดติดระหว่างโครงสร้าง มั่นคงและช่วยกันทำงานเช่นโครงทรัสท์ (Trust), แป, Tied Rod, แลกระเบื้อง เป็นต้น หากผู้ก่อสร้างไม่ได้ศึกษาเอาไว้ หรือ ไม่ได้สอบถาม – ปรึกษาวิศวกรผู้ออกแบบตอนขึ้นโครงสร้าง มันก็ อาจจะพังลงมาได้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น วิศวกรผู้ออกแบบ ....เมื่อออแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็น่าจะถามตัวเองได้ด้วยว่า หากผู้รับเหมาเขามาถามว่าสร้าง อย่างไหนก่อนอย่างไหนหลัง ก็น่าจะรู้ว่าจะตอบเขาอย่างไร !!!!

ตะเฆ่สัน ตะเฆ่ราง คืออะไร[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

ตะเฆ่สัน และ ตะเฆ่ราง คือสันของหลังคาที่เอียง ๆ (ที่ไม่เอียงอยู่ เป็นแนวระนาบ เขาเรียกว่า สันหลังคา)

ตะเฆ่สัน จะเห็นเป็นสันขึ้นมา เมื่อไรที่เล็งเห็นตะเฆ่สันไม่ตรง เป็นเส้นตรงแสดงว่าหลังคาเริ่มจะมีปัญหา ต้องรีบแก้ไข เพราะ หลังคาอาจกำลังพังลงมา ตะเฆ่ราง จะเห็นเป็นรางหุบลงไป ปัญหาของตะเฆ่รางก็คือจะเป็นจุดที่หลังคาคุณอาจรั่วได้ อาจ เพราะตะเฆ่บิด หรือรางน้ำในตะเฆ่บิดหรืออุดตัน หากฝ้าเพดาน คุณมีน้ำซึมออกมา สิ่งแรกที่น่าตรวจดูคือตะเฆ่รางนี่แหละ บ้านใดไม่มีตะเฆ่เลย โอกาสที่หลังคาจะรั่วมีน้อย ...แต่คนเขาไม่ นิยมกัน

ก่อสร้างอย่างไร ไม่ให้รบกวนชาวบ้าน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

ก่อสร้างในที่ที่ติดกับอาคารข้างเคียง ถึงอย่างไรก็ต้องรบกวน ชาวบ้านเขาวันยังค่ำ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ทางแก้ไขอย่างเดียวก็คือ พยายามทำให้เขาเดือดร้อนน้อยที่สุด ทั้งทางกายและทางใจ ต้อง เอาใจเขามาใส่ใจเราเสมอๆ อย่าเห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว หาวิธีการทุก ทาง – ทุกเวลา ....เพราะเกิดเรื่องแล้วจบยาก จะสร้างบ้าน (มีที่ดินแล้ว) สักหลัง (แต่ไม่รู้จักใครเลย)

  • เริ่มต้นที่ไหนดี

หากคุณมีที่ดินแล้วก็อยากสร้างบ้านสักหลัง แต่คุณไม่เคยรู้จักใคร เลย และก็ไม่มีเงินเพียงพอ ที่จะเสี่ยงต่อความเสียหาย หรือ งบประมาณบานปลายคุณอาจดำเนินการดังนี้

1. ติดต่อบริษัทที่รับสร้างบ้านสำเร็จตามแบบของเขา (เปิดหา ได้ตามโฆษณาทั่วไป ตรวจสอบดูผลงานเขาจากสถานที่จริง (หาก เขาไม่มีตัวอย่างให้ดูก็ไปเลือกบริษัทอื่น) ดูแบบที่เขามีอยู่ใน บริษัทพร้อมงบประมาณง่าเป็นที่พอใจของคุณหรือไม่ ...หาก พอใจก็ติดต่อตกลงกับเขาเพื่อดำเนินการเลย

2. หากไม่พอใจในขั้นตอนแรก (ข้อแรก) แต่ก็ไม่รู้จัก สถาปนิกเลยสึกคนลองติดต่อกับสมาคมสถาปนิกฯ เพื่อให้เขา แนะนำสถาปนิกให้คุณสักคน เมื่อคุณเจอสถาปนิกแล้วก็ตกลงใน การว่าจ้างวิชาชีพกันต่อไป (คุณจะต้องเสียค่าออกแบบ หากคุณจะ ดูแบบ ซึ่งต่างกับขอแรกที่คุณดูแบบได้ฟรีโดยไม่ต้องเสียกะตังค์) หากทั้งสองขั้นตอนนี้ยังไม่เป็นที่พอใจคุณอีก แนะนำให้ ลองตะเวนดูบ้าที่คุณพอใจ แล้วเคาะประตูบ้านนั้นว่า เข้าได้บ้าน ที่คุณพอใจนั้นมาอย่างไร (หากเขาไม่ไล่คุณออกมาจากบ้านก่อน ก็ทำตามที่เขาบอกครับ)

อะไรเอ่ย...ที่เวลาก่อสร้างไม่น่าประหยัดเลย สิ่งที่ไม่น่าประหยัดในการก่อสร้างทั้งหลายทั้งมวลก็คือ “รากฐาน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพมหานคร เพราะเมื่อเกิดปัญหาขึ้น แล้ว จะเป็นจุดที่แก้ไขยากที่สุด แก้ไขนานที่สุด และแพงที่สุด (นอกจากจะไม่น่าประหยัดแล้ว เวลาก่อสร้างน่าจะ Serious มากๆ ด้วย แต่คนมักจะมองข้าม อาจเพราะถือว่า ไม่มีใครเห็นก็ได้ ซื้อหรือจ้างเข้ามาทำเฟอร์นิเจอร์ในครัว น่าตรวจเช็ค อะไรบ้าง

ยุคนี้สมัยนี้ ครัวในบ้านไทยๆ แบบเราเปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะ ครัวแบบฝรั่งที่เคาน์เตอร์มีพัดลมดูดอากาศ มีอ่างล้างจาน มีเตา แกส ฯลฯ เป็นที่นิยมอย่างยิ่ง แถมราที่ท่านไปตรวจเช็คดูตามที่ เขาจัดแสดงงานมหกรรมต่างๆ ก็แตกต่างกันมาก (ประมาณ 300 % ) จนท่านเองก็ชักจะงงว่า จะซื้อแบบไหนดี เพราะผู้ขายจะพยายาม โฆษณาสรรพคุณจนทานงงมีข้อแนะนำพื้นฐานในการเลือกซื้อ อยู่ 4 – 5 ข้อ เผื่ออาจช่วยท่านได้บ้างครับ

  1. วัสดุที่บุผิวทนความร้อนหรือไม่ (เวลาใช้จะได้ไม่ลอกไม่ล่อน)
  2. วัสดุที่บุผิวทนความร้อนเพียงไร (คงไม่ต้องถึงกับเป็นวันดุกันไฟหรอกครับ)
  3. ลิ้นชักหรือบานตู้ลื่น – แข็งแรงแค่ไหน (เวลาทานใส่กะปิน้ำปลาแล้ว ลิ้นชักพื้นตู้อาจจะแอ่นจนท่านเลื่อนลิ้นชัก และเปิดตู้ไม่ได้)
  4. วัสดุที่ประกอบอมความชื้นเพียงไร (อมความชื้นมาก ครัวท่านจะเหม็น)
  5. การเดินท่อน้ำ – ท่อไฟ เรียบร้อยและซ่อมแซมได้หรือไม่(ระวังไฟช๊อต ท่อน้ำตัน หรือพัดลมดูดอากาศไม่ทำงานภายหลัง)
ปลั๊ก – สวิตช์ไฟในห้องน่าจะสูงสักเท่าไร[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

โดยทั่วไปในอาคารพักอาศัย อาคารสำนักงาน หรืออาคารสาธารณะ จะมีระดับวางปลั๊กและสวิตช์ไฟไว้โดยมาตรฐาน 2 ระดับคือ 1. ระดับ + 0.30 หรือ 30 เซนติเมตรจากพื้นห้อง ซึ่งจะเป็น ระดับปลั๊กไฟที่ใช้สำหรับอุปการณ์ไฟฟ้าหนักเช่นพัดลม เครื่องดูด ฝุ่น และเพื่อเดินสายซ่อนต่อเข้าเฟอร์นิเจอร์ตั้งโต๊ะ เช่นเครื่อง เสียง โทรทัศน์ – วิทยุ โคมตั้งโต๊ะ เป็นต้น 2. ระดับ + 1.10 หรือ 110 เซนติเมตรจากพื้นห้องง เป็นระดับ สวิตช์ไฟฟ้าที่สะดวก ใช้สำหรับคนทุกขนาดความสูง ทั้งเด็กทั้ง ผู้ใหญ่เป็นระดับของปลั๊กอีกระดับหนึ่งด้วย ปลั๊กจุดนี้จะใช้สำหรับ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ใหญ่นัก และสูง 1.10 เมตร เพื่อไม่ให้มี เฟอร์นิเจอร์มาบัง (เฟอร์นิเจอร์ทั่วไปยกเว้นตู้สูง เช่นตู้ทีวี เคาน์เตอร์ โต๊ะทำงาน ฯลฯจะสูงประมาณ 60 -100 เซนติเมตร) วิธีง่ายๆ ว่าโถส้วมของท่านนั้น ช่างติดตั้งสุขภัณฑ์ติดตั้งได้ ระดับหรือไม่

โถส้วมที่กำลังจะกล่าวถึงนี้คือโถส้วมชักโครกแบบมีแทงค์น้ำอยู่ ด้านหลังในกรณีที่ช่างติดตั้งสุขภัณฑ์ของท่านติดตั้งแล้วไม่ได้ ระดับ ไม่ว่าจะเป็นเอียงหน้าหรือเอียงหลัง เวลาท่านยกแผงที่รอง นั่งขึ้นพิงกับแทงค์น้ำชักโครก ก็มักจะกระดกกลับมาทำให้กระทำ ความสะอาดทำได้ยาก และหาเอียงมาก ๆ ท่านก็จะนั่งไม่สุขารมณ์ คอห่านที่เก็บกักน้ำกันกลิ่นย้อนกลับก็ทำงานได้ไม่เต็ม ประสิทธิภาพ....วิธีง่าย ๆขั้นต้นก่อนการตรวจรับงานก็คือ “ยกฝา รองนั่งขึ้นพิงแทงค์น้ำ” และเอามือตบลงที่แทงค์น้ำ(ตบขนาด พอดี ๆ ไม่ต้องถึงหนักจนโถส้วมร้าว) หากฝานั่งไม่กระดกกลับมาถือ ว่าโถส้วมของท่านไม่เอียงหน้า แล้วเอาน้ำใส่ลงที่คอห่าน ดูด้วยตา ว่าระดับน้ำได้ระนาบเดียวกับพื้นห้องหรือเปล่า การดูระดับน้ำ ค่อนข้างยากเพราะส่วนโค้งของโถส้วมจะหลอกตา) ดวงไฟหน้ากระจกเงา เขามีไว้ส่องหน้าท่าน...ไม่ใช่ส่อง กระจก

กระจกเงาเยอะแยะบานไม่ว่าจะติดตั้งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งหรือใน ห้องน้ำ จะว่างตำแหน่งดวงโคมผิดพลาดหรือใช้ดวงโคมผิด ประเภท ทำให้แสงจากดวงโคมแทนที่จะส่องกระทบเข้าหน้า แล้ววิ่งกลับไปปรากฏภาพในกระจก กลับส่องเข้าหากระจกแล้วคอย นำแสงสะท้อนจากกระจกออกมาสู่หน้าท่าน แล้วค่อยสะท้อน กลับไปที่กระจกให้ปรากฏภาพอีกครั้ง จึงทำให้ภาพใบหน้าของ ท่านปรากฏไม่ค่อยแจ่มชัด ส่องกระจกนานๆ ก็เกิดอาการปวดลูกกะ ตา

ลองตรวจเช็คดูว่าบ้านท่านเป็นอย่างนี้หรือเปล่า หากเป็นก็ เปลี่ยนตำแหน่งดวงโคมเสีย (อาจจะยกขึ้นสูงกว่ากระจกสักคืบ หรือวางเอียงออกจากกระจก) หรือ เปลี่ยนชนิดของดวงโคมมาเป็น สองออกด้านเดียวสู่หน้าของท่าน ไม่ใช่ดวงโคมที่ส่องแสงออกทุก ทิศทุกทาง

ออกแบบประตูหน้าต่างอย่าลืมเตรียม “ม่าน เหล็กดัด มุ้งลวด”[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

ไม่ค่อยแน่ใจว่าอยู่เมืองไทยแล้วมันเป็นอย่างไร จะมีบ้านกับเขา สกหลังแม้มีรั้วรอบขอบชิดแล้ว ก็ต้องมีอะไรต่ออะไรป้องกันอีกตั้ง หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นผ้าม่านที่ป้องกันสายตาสอดรู้ มุ้งลวดที่ไว้ ป้องกันยุง แถมเหล็กดัดที่สำหรับกันขโมยแบะกันเด็กไม่ให้ออก จากบ้านเวลาเกิดไฟไหม้บ้าน ทำให้การออกแบบกรอบประตู หน้าต่างจะต้องคิดถึงสิ่งเหล่านี้ไว้ล่วงหน้า ว่าจะติดตั้งได้อย่างไร เช่น

- มุ้งลวดคุณเป็นมุ้งลวดชนิดใด (แบบบานเลื่อนหรือบาน เปิด) จะติดตั้งอย่างไร เปิดไปทางใด หากเป็นบานเลื่อน จะเลื่อนเข้าหรือเลื่อนออก จะใช้กรอบประตูหน้าต่างเป็น รางหรือมีรางพิเศษส่วนตัว

- ม่านคุณเป็นแบบไหน ติดสูงเท่าไร ชายม่านอยู่ระดับ ไหน แขวนไว้ผนังหรือฝ้าเพดาน หรือกรอบประตูหน้าต่าง มีที่บังรางม่านหรือไม่หากมีเป็นอะไรติดตั้งอย่างไร

- เหล็กดัดหน้าตาเป็นอย่างไร เปิดออกได้หรือไม่ ติดตั้งกับ อะไร ฯลฯ หลังจากทราบข้อมูลดังกล่าวข้างต้น ก้ออกแบบ หรือจัดเตรียมกรอบบาน – วงกบ ประตูหน้าต่างให้ เหมาะสมกับข้อมูลนั้น...จึงเริ่มก่อสร้างครับ

ประตูสู่ด้านนอกอาคารจะต้องเปิดออก และวงกบวางอยู่บน พื้นนอกเสมอ

ประตูอาคารที่เปิดออกสู่นอกอาคารและมีฝนสาดเข้ามาถึงจะต้อง เป็นประตูที่เปิดออก และบานประตูจะต้องอยู่ต่ำกว่าระดับพื้น ภายในเสมอ (ขาวงกบจะวางอยู่บนระดับพื้นภายนอก) หากมิ เช่นนั้นเวลาฝนตก น้ำฝน (ทั้งทางตรงและทางอ้อม) จะไหลเขา สู่อาคาร แถมยังช่วยในกรณีไฟไหม้ได้บ้าง เพราะเวลาไฟไหม้คนที่ หนีออกจากอาคารมักตกใจและพยายามดันประตูออก (ไม่พยายาม เปิดประตูเข้า)

  • อย่าทำประตูติดบันได

เดี๋ยวศีรษะท่านจะต้องลงบันได แทนเท้า

ข้อนี้หมายถึงการเปิดประตูแล้วก็ลงบันไดขั้นแรกไปเลย โดยไม่มี ชานพักหรือระยะให้พักเท้าเผื่อไว้บ้าง อันตรายมาก ๆ ทั้งตอนขึ้น – ตอนลง และตอนเดินสวนกันที่บันได ตอนขึ้นท่านต้องเอื้อม มือไปเปิดประตูก่อนแล้วก็ถอยลงบันไดเพื่อให้มีระยะเปิดของ ประตูแล้วจึงขึ้นกลับไปใหม่ หรือหากสวนทางกันคนหนึ่งกำลัง เดินขึ้น – อีกคนหนึ่งเปิดประตูออก บานประตูก็กระแทกคน ข้างล่างให้ตกกระไดได้หรือตอนลงที่เปิดประตูแล้วก้าวโดยไม่รู้ว่า เป็นบันไดก็อันตรายเช่นเดียวกัน ...ระวัง..ระวัง..ระวัง

  • สีกระเบื้องหลังคาคุณลอก (เป็นขี้กลาก) จะแก้ไขได้อย่างไร

กระเบื้องมุงหลังคาบางชนิด – บางยี่ห้อ – บางรุ่น คุณอาจจะเป็น คนโชคดีในไม่กี่คนที่ดันไปซื้อมามุงหลังคาบ้านคุณ มีทางแก้อยู่ 2 แนวทางคือ

  1. เปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคาใหม่ทั้งผืน (ไม่น่าเปลี่ยนเฉพาะบางแผ่น เพราะโรคขี้กลากอาจจะหาไป แต่ทิ้งโรคเอนไว้แทนที่)
  2. ใช้สีพิเศษสำหรับทากระเบื้องทาทับลงไป (ติดตอร้านขายสีหรือบริษัทขายสีได้ แต่ต้องแน่ใจว่าเป็นสีชนิดใช้ทากระเบื้องหลังคาจริงๆ ) สีนี้ราคาค่อนข้างแพง จนราคาต่อตารางเมตรเกือบจะเท่ากับตัวกระเบื้องทีเดียว น่าจะใช้ในกรณีที่การเปลี่ยนกระเบื้องหลังคาทำได้ยากจริงๆ เท่านั้น

ดู “ฮวงจุ้ย” พื้นฐาน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

ตอนนี้ศาสตร์การดู “ฮวงจุ้ย” กำลังเป็นที่นิยมกันมาก หากจับหลัก ใหญ่ ๆ ที่ใช้ดูที่ดินแบบชาวบ้านก็มีอยู่ไม่กี่ประการซึ่งพอสรุปการ ดูง่าย ๆ ได้ดังต่อไปนี้

  1. ที่ดินที่มีถนนวิ่งเข้าใส่...ไม่ดี
  2. ที่ดินรูปถุง (หน้าแคบหลังกว้าง) ..ดี หน้ากว้างหลังแคบ...ไม่ดี
  3. หน้าอิงน้ำหลังอิงเขา...มักจะดี (แต่มีสายน้ำพุงเข้าหา...ไม่ดี)
  4. ประตูหน้า ตรงกับประตูหลังโดยไม่มีอะไรกั้นขวาง....ไม่ดี

ส่วนรายละเอียดอย่างอื่นห้ามจอดรถ (หรือเลี้ยงสัตว์ใต้ห้องนอน ใหญ่)ห้ามมีแนวคานขวางบนเตียงนอน ฯลฯ นั้นเป็นความเชื่อ โบราณที่ปัจจุบันอาจเปลี่ยนแปลงไปแล้ว หรือการหันทิศของ อาคาร ตำแหน่งห้องน้ำ จำนวนช่องเปิด เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก และแล้วแต่ดวงหรือลักษณะของเจ้าของบ้านหาคุณเชื่อจริง ๆ คง จะต้องไปหาซินแสโดยตรงแล้วละครับ

ปูปาเก้ไม้แดง เผื่อช่องว่างที่ผนังไว้บ้างก็ดี ปาเก้ไม้แดงเป็นที่นิยมใช้กันมากพอ ๆ กับปาเก้ไม้มะค่าและปาเก้ ไม้สัก เพราะมีความแข็งแกร่งและสวยงาม แต่ปาเก้ไม้แดงจะมีการ ยืดหดตัวมากกว่าไม้มะค่าและไม้สัก เวลาปูปาเก้ไม้แดงน่าจะเผื่อ ช่องว่างระหว่างแผ่นไม้กับผนังไว้นิดหนึ่ง เผื่อยามมีการขยายตัว ของเจ้าปากเก้ จะได้ไม่ดันจนผนังสวย ๆ ของคุณแตกร้าว (ไม่ต้อง ห่วงความน่าเกลียดของช่องนั้น เพราะเราจะมีบัวเชิงผนังปกปิด อยู่แล้ว)

ไม้ตะเคียนทอง....ต้องมีรอยมอดกินเสมอ โดยทั่วไปสถาปนิกส่วนใหญ่จะแจ้งรายละเอียดของไม้วงกบประตู หน้าต่างให้เป็นไม้อย่างดี ๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหายืดหดของวงกบ (เพราะหากยืดหดได้ประตูจะบิด แอ่นงอ เปิดปิดไม่ได้หรือไม่ สะดวกภายหลัง) รายละเอียดชนิดของไม่ที่จะใช้มักบอกว่า “เป็นไม้ ที่ไม่เคยใช้มาก่อน ไม่มีมอดและแมลง เช่น ไม้เต็งไทยแท้ ไม้ มะค่า ไม้สัก หรือไม้ตะเคียนทอง” ซึ่งในชีวิตจริงเป็นเรื่องยาก เพราะไม้ตะเคียนทอง (แท้) จะต้องมีร่องรอยของมอดป่าเจาะ เป็นรูเล็กๆ เสมอ (หากไม่มีรอยมอดป่า 99.88% จะเป็นไม้ชนิด อื่น ที่มีสีเหลือง ๆ คล้ายกับไม้ตะเคียนทอง ซึ่งมีการยืดหดสูงและ ราคาถูกมาก) จึงขอแจ้งให้บรรดาสถาปนิกที่เขียนสเป็คแก้ไขเสีย ส่วนผู้ตรวจงานก็น่าจะทราบไว้ด้วย เพราะเดี๋ยวนี้จะเด๋อตอน ตรวจงานและต่อว่าผู้รับเหมา ขอรับ หาฤกษ์ก่อสร้างง่ายๆ โดยตัวเอง

  • หากท่านเป็นผู้เชื่อโชคลาง (มากน้อยไม่ว่ากัน) และไม่มีเวลา

หรือไม่สะดวกในการตามหาพระอาจารย์ทั้งหลายมาให้ฤกษ์ให้ยาม ขอแนะนำว่าท่านอาจจะหาฤกษ์ด้วยตนเองก็ได้ โดยหาซื้อหนังสือ โหราศาสตร์ ประเภทสรุปรวบรวมฤกษ์ประจำวันทั้งปี ซึ่งหนังสือ พวกนี้จะออกวางตลาดตอนปลายปีทุกปี ลองอ่านและหาฤกษ์ด้วย ตัวเองได้ครับ

เมื่อได้หนังสือนั้นมาแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะอ่านไม่รู้เรื่อง เพราะ ศัพท์แสงที่เขาเขียนไม่ยากเย็นอะไร นอกจากทราบว่าวันไหนดี สำหรับการสร้างแล้วทานอาจจะมีความรู้อื่นๆ เพิ่มเติมด้วย (แต่อย่า ไปหลงไหล มากนักก็คงจะดีครับ) เพราะงานก่อสร้างไม่สามารถที่ รอฤกษ์ได้มากมายนัก เดี๋ยวฝนก็ตกคอนกรีตก็ขาดตลาด คนงานก็ จะหยุด วุ่นวายมากพอแล้ว หากต้องมารอฤกษ์อีกอย่างสงสัยจะแย่ ครับ

ฤกษ์เสาเอกอาคารสมัยใหม่เขานับกันตรงไหน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

ในสมัยโบราณ ฤกษ์ลงเสาเอกก็คือเวลาที่เรานำเสาหลักของบ้าน หย่อนลงสู่หลุมที่ขุมเตรียมเอาไว้ จัดเสาให้ตั้งตรงและเอาไม้ค้ำยัน ไว้ เอาดินกลบหลุมใช้เวลาทั้งสิ้นไม่เกินชั่วยาม แต่ปัจจุบันการ สร้างอาคารสมัยใหม่เปลี่ยนแปลงไปมากมายเหลือเกิน อาคาร ปัจจุบันต้องมีการตอกเสาเข็ม ต้องมีการเท ฐานราก – ทำตอม่อ แล้วจึงจะขึ้นเสาโผล่พ้นดินได้ คนหลายคนจึงงง ๆว่าแล้วตอน ไหนละที่เขาเรียกว่า “ ขึ้นเสาเอก” เพื่อจะเอาเวลาที่ดีที่สุดที่หามา ได้ทำพิธีตอนนั้น...จากการสรุปมากกว่า 20 ปี สามารถสรุปความ ของ “ ฤกษ์” ขึ้นเสาเอกได้ดังนี้

1. ยึดเวลาที่ตอก (เจาะ) เสาเข็มต้นแรก หรือ เวลาที่ตอก (เจาะ) เสาเข็มต้นที่กำหนดให้เป็นเสาเอก (น่าจะเรียกว่า “ฤกษ์ เข็มเอก”)

2. ยึดเวลาที่เทคอนกรีตฐานราก (จะทำฐานรากพร้อมตอม่อ) ต้นที่ถูกกำหนด ซึ่งน่าจะเรียกว่า “ตอม่อเอก” หรือ “เสาสั้นเอก” 3. เวลาที่มีการเทคอนกรีตหล่อเสาอาคารจริงๆ (ซึ่งอาจจะตั้ง ครึ่งค่อนปีหลังจากเริ่มทำการก่อสร้าง) จึงขอให้ท่านทั้งหลายเลือก โอกาสกันตามสบาย ๆ ตามฤกษ์สะดวกเถอะครับ อยากมีสนามหญ้าสวยๆ ปลูกต้นไม้ออกดอก มีผล อย่าลืมทาง ระบายน้ำ

หากคุณมีสนามหญ้า หรือที่ดินเพียงพอที่จะปลูกต้นไม้ใบหญ้า เวลาคุณถมดินและปรับระดับดินขอให้อย่าลืมคำนึงถึงเสมอว่า น้ำฝนที่ตกมาหนัก ๆ บนสนามของคุณ หรือไหลมาจากที่อื่นนั้น จะไหลระบายไปทางไหน (น่าคำนึงถึงการเลือกชนิดดินที่ดูดซึม – เก็บอมน้ำได้ด้วย) หากคุณลืมสิ่งนี้ไป ต้นไม้คุณจะเกิดอาการ “รากเน่า” เนื่องเพราะรากแช่น้ำ (จากน้ำท่วมโดยไม่สามารถจะ ระบายออกไปที่อื่นได้) ใบจะเหลือง ไม่ให้ดอกให้ผล และจะ เสียชีวิต (ตาย) ไปในที่สุดครับ จะปลูกต้นไม้ใหญ่ข้างบ้าน คุณคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้บ้างหรือ ยัง

ตอนนี้ที่ดินแพงขึ้นทุกวัน ๆ บ้านแต่ละหลังเหลือพื้นที่สำหรับ ปลูกต้นไม้นิดเดียว บังเอิญคุณก็อยากปลูกต้นไม้ใหญ่ ๆ ให้ร่มเงา สดชื่นตามธรรมชาติจึงจำเป็นที่จะต้องปลูกต้นไม้ใหญ่ติดตัวบ้าน ของคุณ... หากเป็นเช่นนั้น คุณต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้บ้างนะ ครับ

1. อย่าเลือกต้นไม้ใหญ่ที่มีรากโต ๆ และเลื้อยไปทั่ว เช่น ต้น จามจุรีต้นหางนกยูง เพราะรากจะดัน โครงสร้างบ้านคุณจน พังทลายได้

2. ดูทิศทางลมมาว่าวิ่งเข้าปะทะบ้านคุณโดยตรง และรุนแรง ในแนวที่คุณจะลงต้นไม้หรือไม่ เพราะคุณน่าจะเผื่อแนวที่ ต้นไม้ล้มไว้บ้างว่าไม่น่าจะล้มทับบ้านคุณ แต่หาไม่อยู่ในแนวลม ก็น่าดัดต้นไม้บ้างว่าไม่ให้เอนเข้าหาตัวบ้านคุณ

3. คุณกลัวขโมยใช้ต้นไม้เป็นบันไดเข้าบ้านคุณหรือเปล่า

4. คุณเชื่อโชคลางคนไทยโบราณว่า “อย่าให้กิ่งไม้ใบไม้มา เกาะแกะระรานที่ตัวบ้าน เพราะเป็นตัวกวาดทรัพย์สินเงินทอง ออกไป” บ้างไหม

หากคุณแก้ไขความเชื่อ ความกลัว และเข้าใจ 4 สิ่งทีเอ่ยมาได้ ก็ปลูก ได้เลยครับ

ปลูก “เฟื่องฟ้า” อย่างไรให้ออกดอก[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

คนกว่า 90% ที่ชอบสีสดใสของต้นเฟื่องฟ้าและหาซื้อจากร้านขาย ต้นไม้มาประดับบ้าน ในขณะที่ซื้อมาดอกดกเต็มต้น พอเอาเข้า บ้านมาปลูกแค่เดือนเดียว ดอกดก ๆ ก็ร่วงหมด แล้วก็ไม่โผล่ดอก (แบบเป็นเรื่องเป็นราว) มาให้เห็นอีกเลย (นี่ก็ตั้งหลายปีแล้ว) จะ ทำอย่างไรดี ...ลองทำแบบนี้ดูซิครับ

  1. ย้ายต้นไม้ไปปลูกกลางแจ้ง
  2. อย่าให้น้ำมาก
  3. อย่าให้ดินมาก (ปลูกไว้ในกระถางจะดีกว่า)
  4. ให้ปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสมาก ๆ (เป็นปุ๋ยที่มีสูตรตัวเลขกลางสูงๆ) เช่น 12 -22 - 20 หรือ 0 – 46 – 0 หรือ 15 – 22 – 18 เป็นต้น
  5. บางคนเขาก็ใช้วิธีทรมานต้นไม้ และใช้วิธีที่ 4 ที่กล่าวมา

ตามเวลาที่สมควร คือ เอาต้นไม้วางไว้กลางแดด ไม่ให้น้ำต้นไม้ ประมาณ 5 -7 วันจนกระทั่งใบเฉาลงนิดนึง หลังจากนั้นให้ปุ๋ยที่ มีฟอสฟอรัสมาก ๆ และให้น้ำตามปกติต้นไม้ก็น่าจะออกดอกพอ ดอกเต็มต้นและร่วงโรยหมด ก็เริ่มกลับมาทรมานต้นไม้ใหม่ (แต่ อย่าทำติดต่อกันเกิน 3 รอบ เพราะต้นไม้จะโทรมหมด)

แต่การปลูกต้นไม้เป็นเรื่องของมนุษย์กับธรรมชาติ เทคนิควิธีการ มีหลายอย่างหลายวิธี บางคนก็บอกว่า ต้นเฟื่องฟ้านี้ใช้เพียงใส่ปุ๋ย 16 – 16 – 16 เรื่อย ๆ ทุกอาทิตย์ ก็จะออกดอกเป็นประจำทั้งปีอยู่ แล้วบางคนก็บอกให้ปุ๋ยละเอียดพ่นทางใบถึงจะประสบ ความสำเร็จ ก็เห็นจะต้องลองกันไป แต่สำหรับผู้เขียนที่ได้ทดลอง มา วิธีกรรม 5 ข้อ ข้างต้นดูจะประสบความสำเร็จ (บ้าง) มากที่สุด ครับ

วางโถส้วมไว้ใกล้แนวคานโครงสร้าง ต้องระวังให้ดี[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

โถส้วมจะใช้งานได้สมบูรณ์ต่อเมื่อต้องมีท่อส้วมเพื่อนำสิ่งปฏิกูล ไปสู่บ่อเกรอะ หากท่อส้วมถูกขวางทางด้วยโครงสร้าง จนไม่สามารถ เดินทาง (หรือเดินทางไม่สะดวก) ไปสู่บ่อเกรอะได้ โถส้วมนั้นก็ใช้ การไม่ได้

การวางโถส้วมซ้อนทับที่แนวคานโครงสร้าง หรือยู่ใกล้แนวคาน มากเกินไปขอให้ผู้ออกแบบ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาปนิกและ มัณฑนากร) ตรวจสอบตรวจดูแบบโครงสร้างประกอบ เพื่อหา แนวทางเดินท่อส้วมก้อนวางตำแหน่งโถส้วมนะครับ

“สายชำระ” ต้องอยู่ทางขวามือเสมอ

“สายชำระ” เป็นของใหม่และอุปกรณ์ใหม่ในห้องน้ำบ้านเรา ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี่เอง ช่างติดตั้งสุขภัณฑ์หรือสถาปนิกบาง ท่านอาจยังไม่เคยชินเลยไปติดสายชำระอยู่ทางซ้ายมือ (ของผู้ กำลังนั่งอยู่บนโถส้วม) ทำให้การใช้งานลำบาก – ขัดเขินมาก (...ลอง หลับตาและวาดมโนภาพการใช้งานดู) เส้นผมบังภูเขานะครับ ต่อเติมบ้านหรือสร้างอาคารใหม่ชิดอาคารเก่า....ระวังเข็มที่ ตอกใหม่ดันไป

ทิ่มแทงฐานรากเก่าเข้า[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

การต่อเติมอาคารที่ต้องแยกโครงสร้างเก่ากับโครงสร้างใหม่ออกจาก กันแต่ต้องกาให้ตัวอาคารวางชิดกัน หรือการก่อสร้างอาคารใหม่ที่มี เสาใหม่วางชิดเสาอาคารเก่า สิ่งที่น่าตรวจเช็คเบื้องแรกก่อนการ ออกแบบโครงสร้างและต้องสอบเช็คอีกครั้งก่อนการตอกเสาเข็ม อาคารใหม่ คือการหาแนวขอบเขตของฐานรากอาคารเดิมว่าแผ่ ออกมากว้างแค่ไหน เพราะถ้าออกแบบผิดพลาดหรือไม่มีการ ตรวจสอบที่สถานที่ก่อสร้าง (อาจต้องขุดดินตรวจสอบ) เข็มอาคาร ใหม่อาจตอกทิ่มลงบนฐานรากอาคารเก่า (ที่แผ่ออกมา) ...รับรองว่า อาคารใหม่จะไม่ได้สร้าง แถมอาคารเก่าจะต้องได้สร้างใหม่ด้วยละ ครับ

อย่าเสริมพื้นให้สูงขึ้นโดยวิธีเทคอนกรีตทับ[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]

ท่านที่ต้องการดัดแปลงต่อเติมบ้านของตน โดยการดัดแปลงนั้น บางส่วนทานต้องการเสริมความสูงของพื้นขึ้นมา (เช่นอยากให้ ห้องครัวที่ต่ำกว่าห้องทานข้าว ให้มีความสูงเท่า ๆ กัน) กรุณาอย่าเท คอนกรีตเพื่อเสริมความหนา (ความสูง) เด็ดขาด เพราะคอนกรีตที่ ท่านเทอาจสูงขึ้นเพียง 10 ซม. นั้น หนักถึง 240 กิโลกรัม/ตาราง เมตร (คอนกรีต 1 ลูกบาศก์เมตร หนักถึง 2.4 ตันครับ) ในขณะที่ วิศวกรโครงสร้างออกแบบให้พื้นนั้นรับน้ำหนักได้เพยง 150 กก./ ตร.ม....เทปุ๊บอาจพังปั๊บเลยครับ

แต่หากคุณต้องการเสริมระดับจริง ๆ ขอให้คิดถึงวัสดุที่เบา ๆ เช่น ไม้หรืออิฐมอญ เป็นต้น ทางที่ดีและปลอดภัยที่สุดก็คือ ปรึกษา สถาปนิก – วิศวกรหน่อยเถอะครับ หากพื้นมีรอยร้าวจะทดสอบอย่างไร คำว่าพื้นในที่นี้หมายถึงโครงสร้างพื้นไม่ใช่วัสดุปูพื้น ส่วนรอยร้าว ที่เกิดขึ้นก็คือ รอยร้าวที่เกิดขึ้นบนโครงร้างพื้น อันแสดงว่า “โครงสร้างอาคารของคุณอาจกำลังมีปัญหา ” การจะเข้าไป ตรวจสอบว่าทำไมถึงร้าวบางครั้งเป็นเรื่องยาก เพราะคอนกรีตถูก หล่อและแข็งตัวแล้วไม่มีทางตรวจสอบองค์ประกอบภายเช่น ชนิด ของเหล็ก – ขนาดของเหล็ก – จำนวนเหล็ก – การผูกเหล็ก – สภาพ ของคอนกรีตได้

ถ้าท่านเป็นผู้ต้องรับผิดชอบในการตรวจสอบรอยร้าวนั้น วิธีการที่ ดีที่สุดและทุกคนยอมรับที่สุด (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าของ โครงการ) คือการทดสอบด้วยการเอาน้ำหนักจริงๆ ขึ้นไปวาง ซึ่ง อาจทำ (เอง) ได้3 วิธี คือ

  1. ใช้ถุงปูนวางบนพื้นทดสอบ (หาง่ายเพราะปูนถุงแต่ละถุงมีน้ำหนักกำกับไว้แน่นอน แต่ราคาอาจแพงเพราะปูนอาจเสียหายได้
  2. ใช้ถุงปุ๋ยบรรจุทรายวางบนพื้นทดสอบ (ยากขึ้นมานึดนึงเพราะต้องเอาทรายใส่ถุงแล้วช่างน้ำหนักแต่ละถุงก่อน อาจเลอเทอะเพราะผงทรายหล่นร่วงบ้าง แต่ราคาถูกที่สุด)
  3. กันของพื้นบริเวณที่จะทดสอบและใส่น้ำลงไป (ยากเพราะต้องเตรียมการนาน แพงเพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการก่อเสริม (พร้อมฉาบปูนอย่างดี) แต่นอกจากจะทดสอบน้ำหนักแล้ว ยังตรวจสอบการรั่วซึมได้อีก)

ลองเลือกวิธีที่เหมาะสมดู... แต่วาขอให้ผ่านวินิจฉัย – วิธีการ – น้ำหนักที่จะทดสอบจากวิศวกรผู้ออกแบบก่อนเสมอ เสาเอ็นทับหลัง ต้องเทด้วยคอนกรีต ไม่ใช่ปูนทรายนะ ครับ

เสาเอ็นทับหลังนับได้ว่าเป็นส่วนของโครงสร้างส่วนหนึ่ง ที่ทำ หน้าที่บีบรัดรับน้ำหนักของผนังก่ออิฐ ดังนั้นเสาเอ็นทับหลังจึง ต้องเป็น คอนกรีตเสริมเหล็กไม่ใช่ปูนทรายเสริมเหล็กที่ช่างปูน หลายคนนิยมกัน (โดยเอาปูนทรายที่ใช้ก่ออิฐนั่นแหละมาเทเสา เอ็นทับหลัง) ช่วย ๆ กันดูแลด้วยเถอะครับ ...เดี๋ยวใครเขามาเห็น เข้า แล้วสั่งทุบผนังคุณทั้งตึกละก็ อย่าหาว่าไม่บอกกันลวงหน้า ไม่ได้นะครับ

ความรู้เผยแพร่เพื่อประชาชน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]