คำสมาส คือ การสร้างคำใหม่ในภาษาบาลีสันสกฤต เช่นเดียวกับคำประสมในภาษาไทย เกิดจากการนำคำบาลีสันสกฤตตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป มารวมกันเป็นคำเดียวกันให้มีความหมายเกี่ยวเนื่องกัน คำที่เกิดจากการสร้างคำวิธีนี้เรียกว่า คำสมาส แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- คำสมาสที่ไม่มีการกลมกลืนเสียง เรียกว่า คำสมาส
- คำสมาสที่มีการกลมกลืนเสียง เรียกว่า คำสมาสที่มีการสนธิ
- 1. เกิดจากการประสมคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป
- 2. เป็นคำที่มาจากภาษาบาลีหรือสันสกฤตเท่านั้น
- 2.1. คำบาลีสมาสกับคำบาลี เช่น
- 2.2. คำสันสกฤตสมาสกับคำสันสกฤต เช่น
- 2.3. คำบาลีสมาสกับคำสันสกฤต หรือคำสันสกฤตสมาสกับคำบาลี เช่น
- 3. พยางค์สุดท้ายของคำหน้า ไม่ใส่รูปสระอะ เช่น
- 4. พยางค์สุดท้ายของคำหน้า ไม่ใส่ตัวการันต์ เช่น
- 5. ต้องออกเสียงสระที่พยางค์สุดท้ายของคำหน้า ถึงแม้จะไม่มีรูปสระกำกับ เช่น
- 6. เรียงคำหลักไว้หลังคำขยาย เมื่อแปลจึงแปลจากหลังไปหน้า เช่น
คำสมาส
|
คำขยาย
|
คำหลัก
|
ความหมาย
|
ราชการ |
ราช (พระเจ้าแผ่นดิน) |
การ (งาน) |
งานของพระเจ้าแผ่นดิน
|
เทวบัญชา่ |
เทว (เทวดา) |
บัญชา (คำสั่ง) |
คำสั่งของเทวดา
|
วรรณคดี |
วรรณ (หนังสือ) |
คดี (เรื่อง) |
เรื่องของหนังสือ
|
พุทธศาสนา |
พุทธ (พระพุทธเจ้า) |
ศาสนา |
ศาสนาของพระพุทธเจ้า
|
วีรบุรุษ |
วีร (กล้า) |
บุรุษ |
บุรุษผู้กล้า
|
- 7. คำบาลีสันสกฤต ที่มีคำว่า พระ ที่แผลงมาจาก วร (วอ - ระ) ประกอบข้างหน้า จัดเป็นคำสมาสด้วย
- แม้คำว่า พระ จะประวิสรรชนีย์ เช่น
- 8. คำสมาสส่วนใหญ่มักจะลงท้ายคำว่า ศาสตร์ ภัย กรรม ภาพ ศึกษา วิทยา เช่น
- 1. การประสมคำบางคำมีลักษณะคล้ายคำสมาส คือ คำแรกมาจากคำบาลีหรือสันสกฤต คำหลังเป็นคำไทย เวลาแปลจะแปลจากหน้าไปหลัง อ่านออกเสียงเหมือนคำสมาส แต่ไม่ถือว่าเป็นคำสมาส เช่น
- 2. การประสมคำที่มีภาษาอื่นที่ไม่ใช่คำบาลีสันสกฤตปนอยู่ คำคำนั้นไม่ถือเป็นคำสมาส เช่น
- 3. มีคำสมาสบางคำไม่ออกเสียงสระตรงพยางค์ท้ายของคำหน้า เช่น
- 1. เป็นความเจริญทางด้านภาษา เมื่อต้องการใช้คำให้สละสลวย ก็สร้างคำขึ้นใหม่ให้พอใช้
- 2. เป็นประโยชน์ในการแต่งคำประพันธ์ ประเภทโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน เพื่อให้เข้าตามลักษณะบังคับของคำประพันธ์ชนิดนั้น ๆ
- 3. เพื่อให้อ่านเขียนได้ถูกต้อง คือ อ่านต่อเนื่องกัน และเขียนได้ถูกต้องตามหลักคำสมาสที่อ่านและออกเสียงสระอะโดยไม่ต้องประวิสรรชนีย์