ให้/บทที่ 1
ลักษณะของสัญญา
[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]อันว่า ให้ นั้น คือ สัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ผู้ให้ โอนทรัพย์สินของตนให้โดยเสน่หาแก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้รับ และผู้รับยอมรับเอาทรัพย์สินนั้น |
ป.พ.พ. ม. 521 |
การให้อันจะให้เป็นผลต่อเมื่อผู้ให้ตายนั้น ท่านให้บังคับด้วยบทกฎหมายว่าด้วยมรดกและพินัยกรรม |
ป.พ.พ. ม. 536 |
เมื่อพิจารณา ป.พ.พ. ม. 521 แล้ว จะเห็นว่า ให้ เกิดจากการที่ผู้ให้โอนทรัพย์สินโดยเสน่หาให้แก่ผู้รับ และผู้รับก็ยอมรับทรัพย์สินนั้นด้วย ซึ่งเป็นกระบวนการปรกติของการเกิดสัญญาที่เรียก "คำเสนอสนองต้องตรงกัน"[1] กล่าวคือ จะสำเร็จเป็นการให้ได้ ต่อเมื่อผู้ให้แสดงเจตนาโอนทรัพย์สินให้ และผู้รับก็รับการโอนนั้นแล้วด้วย ใช่แต่ว่าผู้ให้แสดงเจตนาดังกล่าวแล้วก็เป็นอันเกิดการให้ ดังที่มีผู้เข้าใจผิดกันเป็นอันมาก[2] เพราะฉะนั้น ให้จึงเป็นสัญญา กล่าวคือ เป็นนิติกรรมหลายฝ่าย
มีนักกฎหมายหลายคนพยายามจัดประเภทสัญญาให้ บางคนเห็นว่า ให้เป็น "สัญญาฝ่ายเดียว" (unilateral contract) หรือ "สัญญาไม่ต่างตอบแทน" (irreciprocal contract) เพราะผู้ให้ให้แต่ฝ่ายเดียว และผู้รับไม่จำต้องตอบแทนแต่ประการใด[3][4] แต่ก็มีผู้คัดค้านว่า สัญญาฝ่ายเดียวจึงไม่มีอยู่จริง เพราะขึ้นชื่อว่าสัญญา ย่อมอาศัยเจตนาร่วมกันของคู่สัญญาทุกฝ่าย เช่น ในสัญญาให้นี้ต้องอาศัยการที่ผู้ให้แสดงเจตนาว่าจะให้ และผู้รับแสดงเจตนาว่าจะรับการให้ นอกจากนี้ ที่กล่าวว่า ให้เป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทน เพราะผู้รับไม่จำต้องตอบแทนผู้ให้นั้น ยิ่งไม่ถูก เพราะที่จริง ผู้ให้ก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องให้เช่นกัน กล่าวคือ ไม่มีฝ่ายใดมีหน้าที่ต้องให้ประโยชน์แก่ฝ่ายใด เพียงแต่สัญญานี้ส่งผลให้มีผู้ได้ลาภทางทรัพย์สินอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น เหล่าผู้ที่มีความเห็นทางนี้เสนอว่า ถ้าจะจัด ก็ควรจัดว่า ให้เป็น "สัญญาไม่มีค่าตอบแทน" (contract without charge) มากกว่า[5]
องค์ประกอบของสัญญา
[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้น เป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น |
ป.พ.พ. ม. 21 |
การใดมิได้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยความสามารถของบุคคล การนั้นเป็นโมฆียะ |
ป.พ.พ. ม. 153 |
คู่สัญญา
[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]สัญญาให้มีคู่สัญญาสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือ ผู้ให้ และอีกฝ่ายคือ ผู้รับ
ผู้ให้ (donor) ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา ต้องมีความสามารถทำนิติกรรม มิฉะนั้น การให้เป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. ม. 153[6] หรือถ้าเป็นนิติบุคคล การให้ต้องอยู่ในกรอบวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลนั้นตามที่ระบุไว้ในกฎหมายหรือตราสารจัดตั้งด้วย[6] แต่ไม่ว่าในกรณีใด ผู้ให้ต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ให้ เพราะการให้มีผลเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินไปยังผู้รับ ถ้าผู้ให้ไม่มีกรรมสิทธิ์ ก็ย่อมโอนกรรมสิทธิ์มิได้[6]
ผู้รับ (donee) ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา ไม่ว่าจะหย่อนความสามารถทำนิติกรรมหรือไม่ ก็รับการให้ได้เสมอ เพราะมีแต่ประโยชน์ถ่ายเดียว[6] แต่ในกรณีที่ผู้รับหย่อนความสามารถทำนิติกรรม และการให้นั้นก่อภาระให้แก่ผู้รับ กล่าวคือ มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพันด้วยก็ดี หรือถ้าผู้รับจะไม่รับการให้ก็ดี ผู้รับต้องขอความยินยอมหรืออนุญาตจากผู้เกี่ยวข้องก่อน มิฉะนั้น การรับหรือการไม่รับเป็นโมฆียะไปตาม ป.พ.พ. ม. 153[7]
เช่น นางสาวปูยกดาวเทียมดวงหนึ่งให้แก่เด็กชายแม้วซึ่งเป็นผู้เยาว์ แต่มีเงื่อนไขว่า ให้กรรมสิทธิ์โอนไปต่อเมื่อเด็กชายแม้วสอบเข้าโรงเรียนสาธิตมูลเมืองได้แล้ว ถ้าเด็กชายแม้วจะตกลงรับดาวเทียมดวงนั้น ก็ต้องขออนุญาตผู้แทนโดยชอบธรรม คือ บิดามารดา หรือผู้ปกครอง ตาม ป.พ.พ. ม. 21 เสียก่อน หรือถ้าผู้แทนโดยชอบธรรมจะตกลงรับดาวเทียมนั้นแทนเด็กชายแม้ว ผู้แทนก็ต้องขออนุญาตศาลตามกฎหมายลักษณะครอบครัว (ป.พ.พ. ม. 1574 (9)) เสียก่อน
อนึ่ง นิติบุคคลก็เป็นผู้รับได้ ในการนี้ มีข้อควรคำนึงอย่างเดียวกับกรณีผู้ให้ คือ การรับทรัพย์สินนั้นต้องไม่ขัดกับวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลตามที่ระบุไว้ในกฎหมายหรือตราสารจัดตั้ง[7]
เจตนาและวัตถุประสงค์
[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]ในการให้นั้น ผู้ให้จะมีเหตุผลอะไรก็ได้ เป็นความอยากส่วนตัวของผู้ให้ และเป็นเจตนาที่แสดงออกโดยอิสระ ไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ ทั้งนั้น เรียกว่า "เจตนาในการให้" (animus donandi หรือ donative intent)[8] เช่น ให้เพราะแทนคุณ เอาบุญ หวังประโยชน์แอบแฝง สุรุ่ยสุร่าย หรือเอาหน้า
ส่วนวัตถุประสงค์ที่ให้ ก็คือ ให้เปล่า กล่าวคือ ฝ่ายผู้รับไม่ต้องตอบแทนผู้ให้แต่ประการใด ดังนั้น หากให้โดยมีผู้รับต้องตอบแทนแล้ว ก็มิใช่สัญญาให้ แต่อาจเป็นสัญญาอย่างอื่นไปแล้วแต่รายละเอียด[7] เช่น ให้เงินแล้วบอกว่าให้มาช่วยงานที่บ้านตอบแทน อาจเป็นการจ้างแรงงาน หรือให้ของอย่างหนึ่งแล้วมีเงื่อนไขว่า ให้เอาของอีกอย่างมาแลก อาจเป็นการแลกเปลี่ยน
วัตถุประสงค์ดังกล่าวนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของการให้ เพราะคำว่า "โดยเสน่หา" หมายความว่า โดยไม่มีค่าตอบแทน[ก] ในภาษาอังกฤษใช้ว่า "gratuitous" ซึ่งมีความหมายอย่างเดียวกัน คือ ไม่รับของมีค่าอันใดตอบแทน (without receiving any return value)[ข] และในภาษาฝรั่งเศสใช้ว่า "à titre gratuit"[ฃ] ซึ่งมีความหมายตรงตัวว่า ไม่มีค่าตอบแทน (at no charge)
แบบ
[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]การใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ การนั้นเป็นโมฆะ |
ป.พ.พ. ม. 152 |
การให้นั้น ท่านว่าย่อมสมบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ |
ป.พ.พ. ม. 523 |
ถ้าผู้ให้ผูกตนไว้ว่าจะชำระหนี้เป็นคราว ๆ ท่านว่า หนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไปเมื่อผู้ให้หรือผู้รับตาย เว้นแต่จะขัดกับเจตนาอันปรากฏแต่มูลหนี้ |
ป.พ.พ. ม. 527 |
สัญญาให้มีแบบ (form) สี่แบบ คือ (1) การส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ (2) การทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ (3) การส่งมอบตราสารแห่งนี้และบอกกล่าวลูกหนี้ให้ทราบ และ (4) การปลดหนี้หรือชำระหนี้แทน
แบบตาม (1) นั้นใช้สำหรับการให้ทรัพย์สินโดยทั่วไป ส่วน (2) ถึง (4) นั้นสำหรับการให้ทรัพย์สินบางประเภทหรือบางวิธี แต่ไม่ว่ากรณีใด ถ้าไม่ปฏิบัติตามแบบแล้ว การให้จะเป็นโมฆะไปตาม ป.พ.พ. ม. 152
การส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้
[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]ตาม ป.พ.พ. ม. 523 การให้จะสมบูรณ์ต่อเมื่อผู้ให้ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้รับ การส่งมอบทรัพย์สินนี้เป็นแบบทั่วไปสำหรับการให้ กฎหมายประสงค์ให้ผู้ให้โอนการครอบครองทรัพย์สินให้แก่ผู้รับ เพื่อผู้รับจะได้สามารถจัดการทรัพย์สินนั้นได้[9]
นักกฎหมายบางคนเห็นว่า การแสดงเจตนาว่าจะให้ทรัพย์สิน การตกลงรับทรัพย์สิน และการส่งมอบทรัพย์สิน ต้องเกิดขึ้นต่อเนื่องกันในคราวเดียวกัน เพราะเป็นเครื่องยืนยันซึ่งกันและกัน[9] ถ้าไม่ได้ส่งมอบทรัพย์สินให้เสียเดี๋ยวนั้น การให้ย่อมเป็นโมฆะ และผู้รับไม่มีสิทธิฟ้องร้องบังคับให้ผู้ให้ส่งมอบทรัพย์สิน เพราะการให้เป็นอิสระของผู้ให้ดังอธิบายมาแล้ว จึงมิใช่หน้าที่ที่จะเรียกร้องให้ปฏิบัติกันได้[10]
แต่ก็มีนักกฎหมายเห็นว่า แสดงเจตนาว่าจะให้ทรัพย์สิน แล้วค่อยส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้ภายหลังก็ได้[11]
มีข้อต้องพิจารณาอีกประการ คือ ถ้าไม่ได้ส่งมอบทรัพย์สินให้เสร็จสิ้นไปในคราวเดียว การให้จะเป็นโมฆะหรือไม่ กรณีนี้ ป.พ.พ. ม. 527 ว่า ผู้ให้จะให้ทรัพย์สินแก่ผู้รับ โดยวิธีชำระหนี้แทนผู้รับเป็นคราว ๆ ไปก็ได้ แต่ปรกติแล้ว ความผูกพันดังกล่าวเป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้ให้กับผู้รับ ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถึงแก่ความตาย ความผูกพันก็เป็นอันสิ้นสุดลง ไม่ตกทอดแก่ทายาทของผู้ตายต่อไป เว้นแต่จะขัดกับ "เจตนาอันปรากฏแต่มูลหนี้" (intention appearing from the obligation)[10]
เช่น อิเหนากล่าวแก่จินตะหราว่า จะออกค่าสร้างภัตตาคารอาหารเจบนภูเขาวิลิศมาหราให้เรื่อย ๆ จนกว่าจะสร้างเสร็จ เป็นการที่อิเหนาแสดงเจตนาผูกพันตนเองว่าจะให้ทรัพย์สินโดยเสน่หาแก่จินตะหราด้วยวิธีชำระหนี้ให้เป็นคราว ๆ ซึ่งทำได้ ต่อมา จินตะหราทะเลาะกับพูนลาบ และถูกพูนลาบทำร้ายถึงแก่ความตายขณะที่ภัตตาคารยังสร้างไม่เสร็จ ปรกติแล้วอิเหนาะย่อมหมดหน้าที่ออกค่าสร้างภัตตาคารให้เพียงเท่านั้น แต่เมื่อปรากฏว่า อิเหนาะแสดงเจตนาไว้ว่า จะออกค่าสร้างให้จนกว่าจะสร้างเสร็จ ความผูกพันของอิเหนากับจินตะหราจึงไม่สิ้นสุดลงเพราะความตายของจินตะหรา และทายาทของจินตะหราได้รับสิทธิของจินตะหราต่อไป ฉะนั้น อิเหนาะจึงต้องออกค่าสร้างอยู่ โดยออกให้แก่ทายาทของจินตะหรา จนกว่าภัตตาคารจะสร้างเสร็จ
อย่างไรก็ดี ป.พ.พ. ม. 527 นี้ชวนสงสัยหลายประการดังนี้
1. ดังอธิบายมาแล้วว่า สัญญาให้ย่อมไม่ก่อหนี้แก่ทั้งผู้ให้และผู้รับ กล่าวคือ ผู้ให้ไม่มีหน้าที่ต้องให้ และผู้รับไม่มีหน้าที่ต้องตอบแทน แต่ ป.พ.พ. ม. 527 บัญญัติไว้ว่า เมื่อแสดงเจตนาว่าจะให้ทรัพย์สินเป็นคราว ๆ ไปแล้ว ก็เกิดหน้าที่จะต้องให้ตามเจตนานั้น จนกว่าหน้าที่จะสำเร็จหรือสิ้นสุดลง ดังนี้ กฎหมายจะขัดกันเองหรือไม่ ข้อนี้ นักกฎหมายเห็นว่า การให้โดยทั่วไป กับการให้ตาม ป.พ.พ. ม. 527 เป็นคนละกรณีกัน อย่างหลังนั้นเป็นการให้เป็นคราว ๆ และ ป.พ.พ. ม. 527 ไม่ได้หมายความว่า การให้โดยเสน่หาก่อหนี้ทุกกรณี[12]
2. สำหรับการให้ทรัพย์สินเป็นคราว ๆ นั้น การส่งมอบที่ทำแล้วย่อมนับเป็นการให้ที่สมบูรณ์ แต่ที่ยังมิได้ทำนั้นจะเป็นอะไร เป็นการให้ที่สมบูรณ์เช่นกัน หรือเป็นสัญญาว่าจะให้ เพราะถ้าพิจารณาว่าเป็นสัญญาว่าจะให้แล้ว ก็ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. ม. 526 ดังจะได้อธิบายข้างหน้า
ข้อนี้ นักกฎหมายเห็นต่างกันเป็นสองทาง ทางแรกเห็นว่า ทรัพย์สินส่วนไหนถึงมือผู้รับแล้ว ก็เป็นการให้ที่สมบูรณ์เฉพาะส่วนนั้น ที่ยังไม่ถึงนับเป็นแต่คำมั่นว่าจะให้ และต้องทำเป็นหนังสือแล้วจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. ม. 526[13] ทางที่สองเห็นว่า ส่วนที่ยังไม่ได้ให้นั้นควรเป็นสัญญาว่าจะให้ มากกว่าจะเป็นคำมั่นว่าจะให้ แต่แม้เป็นคำมั่น ก็ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. ม. 526 เช่นกัน[14]
3. ปรกติแล้ว การให้ในระหว่างชีวิตย่อมมีผลแต่ในระหว่างชีวิตของผู้ให้ แต่ ป.พ.พ. ม. 527 ยกเว้นว่า ในกรณีให้ทรัพย์สินเป็นคราว ๆ นั้น ถ้าผู้ให้และผู้รับถึงแก่ความตาย การให้ไม่สิ้นสุดลงด้วยถ้าขัดกับเจตนาที่ปรากฏจากมูลหนี้ ดังนี้ ผู้ให้จะแสดงเจตนาไว้ว่า แม้ตนตาย แต่การให้ทรัพย์สินเป็นคราว ๆ นั้นก็ให้ดำเนินต่อไป โดยอาศัยข้อยกเว้นดังกล่าวก็ได้ ใช่หรือไม่ ข้อนี้ นักกฎหมายเห็นว่า การให้ที่มีผลเมื่อผู้ให้ตายแล้ว ต้องทำเป็นพินัยกรรม และอยู่ในบังคับแห่งกฎหมายลักษณะมรดก[14]
การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย
สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่นบาท หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย |
ป.พ.พ. ม. 456 |
การให้ทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ท่านว่า ย่อมสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ในกรณีเช่นนี้ การให้ย่อมเป็นอันสมบูรณ์โดยมิพักต้องส่งมอบ |
ป.พ.พ. ม. 525 |
การทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]สำหรับทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันแล้วต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ กล่าวคือ ทรัพย์สินตาม ป.พ.พ. ม. 456 ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ เรือมีระวางตั้งแต่ห้าตัน แพ และสัตว์พาหนะนั้น ป.พ.พ. ม. 525 บัญญัติว่า ถ้าจะให้กันโดยเสน่หา ก็ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย และเมื่อจดทะเบียนแล้ว การให้เป็นอันสมบูรณ์ทันที กล่าวคือ กรรมสิทธิ์โอนจากผู้ให้ไปยังผู้รับทันที แม้ยังไม่ได้ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่กันก็ตาม[15]
ที่กฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพราะทรัพย์สินข้างต้นมีหลักฐานทางทะเบียน เมื่อมีการเปลี่ยนมือก็จำต้องเปลี่ยนแปลงข้อมูลในทะเบียนด้วย[16]
ส่วนที่ดินมือเปล่า หรือที่ดินที่ปราศจากเอกสารรับรองกรรมสิทธิ์นั้น เจ้าของที่ดินมีเพียงสิทธิครอบครองที่ดิน ตราบที่เจตนาถือครองที่ดินไว้เพื่อตนเอง ทว่า ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแต่ประการใด[17] ด้วยเหตุผลนี้ การซื้อขายที่ดินมือเปล่า โดยสภาพแล้วเป็นการซื้อขายสิทธิครอบครอง มิใช่ซื้อขายกรรมสิทธิ์ จึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่[18] เพราะฉะนั้น การยกที่ดินมือเปล่าให้แก่ผู้อื่นโดยเสน่หา จึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นกัน แต่จะตกอยู่ในบังคับแห่งแบบทั่วไป คือ ผู้ให้ต้องส่งมอบที่ดินให้แก่ผู้รับ[18] การส่งมอบที่ดินเช่นว่านี้ หมายถึง การโอนการครอบครองให้ในทางกายภาพ[19] เช่น ย้ายออกไปจากที่ดินเพื่อให้ผู้รับเข้ามาอยู่แทน
การส่งมอบตราสารแห่งนี้และบอกกล่าวลูกหนี้
[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ] การโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้น ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ท่านว่า ไม่สมบูรณ์ อนึ่ง การโอนหนี้นั้น ท่านว่า จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้ แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้ หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น คำบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้ ท่านว่า ต้องทำเป็นหนังสือ
ถ้าลูกหนี้ทำให้พอแก่ใจผู้โอนด้วยการใช้เงินหรือด้วยประการอื่นเสียแต่ก่อนได้รับบอกกล่าวหรือก่อนได้ตกลงให้โอนไซร้ ลูกหนี้นั้นก็เป็นอันหลุดพ้นจากหนี้ |
ป.พ.พ. ม. 306 |
การให้สิทธิอันมีหนังสือตราสารเป็นสำคัญนั้น ถ้ามิได้ส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับ และมิได้มีหนังสือบอกกล่าวแก่ลูกหนี้แห่งสิทธินั้น ท่านว่า การให้ย่อมไม่สมบูรณ์ |
ป.พ.พ. ม. 524 |
สิทธิเป็นทรัพย์สินประเภทหนึ่ง จึงยกให้แก่กันได้เช่นเดียวกับทรัพย์สินประเภทอื่น[20]
สำหรับสิทธิซึ่งมีตราสาร (instrument) กล่าวคือ เอกสารแสดงสิทธิ กำกับอยู่นั้น ถ้าจะให้แก่กันโดยเสน่หาแล้ว โดยสภาพจึงเป็นการโอนสิทธิ และต้องปฏิบัติ ป.พ.พ. ม. 524 ประกอบกับ ป.พ.พ. ม. 306 อันเป็นบทบัญญัติว่าด้วยการโอนสิทธิเรียกร้อง กล่าวคือ การให้สิทธิดังกล่าวต้องทำเป็นหนังสือ ผู้ให้ต้องส่งมอบตราสารให้แก่ผู้รับ และผู้ให้ต้องมีหนังสือแจ้งให้ลูกหนี้แห่งสิทธินั้นทราบถึงการให้ด้วย[21]
เช่น หม่ำยืมเงินเท่งหนึ่งแสนบาท ทำหนังสือสัญญากู้ยืมลงลายมือชื่อหม่ำและเท่งเรียบร้อย หนังสือสัญญานี้จึงเป็นตราสารแสดงสิทธิของเท่งในอันที่จะได้รับเงินหนึ่งแสนบาทคืน ต่อมา เท่งต้องการยกสิทธิดังกล่าวให้แก่โหน่งโดยเสน่หา เพราะซาบซึ้งน้ำใจโหน่งที่มาช่วยทำคลอดสุนัขที่บ้านเป็นผลสำเร็จ ในการนี้ เท่งต้องทำหนังสือโอนสิทธิให้แก่โหน่ง พร้อมกับส่งมอบหนังสือสัญญากู้ยืมนั้นให้โหน่ง แล้วทำหนังสือแจ้งให้หม่ำทราบด้วยว่า โอนสิทธิไปให้โหน่งแล้ว ต่อไปหม่ำจะได้ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โหน่งแทน
ส่วนสิทธิในตราสารประเภทคำสั่งให้ใช้เงิน คือ ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน และเช็คนั้น ไม่ต้องปฏิบัติตามวิธีการข้างต้น เพราะมีกฎหมายลักษณะตั๋วเงินบัญญัติไว้ต่างหาก[22]
อันการชำระหนี้นั้น ท่านว่า บุคคลภายนอกจะเป็นผู้ชำระก็ได้ เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดช่องให้บุคคลภายนอกชำระ หรือจะขัดกับเจตนาอันคู่กรณีได้แสดงไว้
บุคคลผู้ไม่มีส่วนได้เสียด้วยในการชำระหนี้นั้น จะเข้าชำระหนี้โดยขืนใจลูกหนี้หาได้ไม่ |
ป.พ.พ. ม. 314 |
ถ้าเจ้าหนี้แสดงเจตนาต่อลูกหนี้ว่าจะปลดหนี้ให้ ท่านว่า หนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป
ถ้าหนี้มีหนังสือเป็นหลักฐาน การปลดหนี้ก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย หรือต้องเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ให้แก่ลูกหนี้ หรือขีดฆ่าเอกสารนั้นเสีย |
ป.พ.พ. ม. 340 |
การให้นั้นจะทำด้วยปลดหนี้ให้แก่ผู้รับ หรือด้วยชำระหนี้ซึ่งผู้รับค้างชำระอยู่ก็ได้ |
ป.พ.พ. ม. 522 |
การปลดหนี้หรือชำระหนี้แทน
[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]ผู้ให้จะให้ทรัพย์สินแก่ผู้รับ โดยที่มิได้ให้ตัวทรัพย์สินโดยตรง แต่โดยปลดหนี้ที่ผู้รับค้างชำระต่อตนอยู่นั้นให้แก่ผู้รับ หรือโดยเข้าชำระหนี้ของผู้รับแทนผู้รับก็ได้ ดังที่ ป.พ.พ. ม. 522 อนุญาตไว้[23]
การปลดหนี้ก็ดี หรือการเข้าชำระหนี้แทนก็ดี ย่อมอยู่ในบังคับแห่งกฎหมายลักษณะหนี้ สำหรับการปลดหนี้นั้น ป.พ.พ. ม. 340 ว. 2 ว่า ถ้าหนี้มีเอกสารกำกับเป็นหลักฐานอยู่ การปลดหนี้ก็ต้องทำเป็นหนังสือ หรือต้องเวนคืนเอกสารนั้นให้ผู้รับซึ่งเป็นลูกหนี้ หรือขีดฆ่าเอกสารนั้นเสียด้วย[23] ส่วนการชำระหนี้แทนนั้น ป.พ.พ. ม. 314 ว่า ย่อมทำได้ เว้นแต่ (1) ตามสภาพแห่งหนี้แล้ว ต้องเป็นเจ้าตัวเท่านั้นถึงจะชำระหนี้ได้, (2) ขัดกับเจตนาที่ผู้รับกับเจ้าหนี้ของเขาได้แสดงไว้ หรือ (3) ลูกหนี้ ซึ่งก็คือ ผู้รับ ไม่ยินยอม[24]
สัญญาให้บางประเภท
[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]ถ้าการให้ทรัพย์สินหรือให้คำมั่นว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว และผู้ให้ไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นแก่ผู้รับไซร้ ท่านว่า ผู้รับชอบที่จะเรียกให้ส่งมอบตัวทรัพย์สินหรือราคาแทนทรัพย์สินนั้นได้ แต่ไม่ชอบที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยอีกได้ |
ป.พ.พ. ม. 526 |
โดยทั่วไป สัญญาให้เกิดขึ้นเสร็จเด็ดขาด กล่าวคือ เมื่อให้แล้วก็ไม่ต้องทำอันใดต่อไปในภายหลังเพื่อก่อความผูกพันกันอีก แต่สัญญาให้เกิดขึ้นโดยที่ก่อความผูกพันกันชั้นหนึ่งก่อน แล้วจึงค่อยทำสัญญาให้เสร็จเด็ดขาดในภายหลัง เช่น ให้คำมั่นว่าจะให้ หรือทำสัญญาว่าจะให้ แล้วในอนาคตค่อยทำสัญญาให้ตามคำมั่นหรือสัญญาดังกล่าวนั้นอีก เช่นนี้จะได้หรือไม่
คำมั่นว่าจะให้ เป็นกรณีที่บุคคลออกปากเองว่า ในอนาคต ตนจะทำสัญญาให้ทรัพย์สินแก่ผู้อื่นโดยเสน่หา ส่วนสัญญาว่าจะให้นั้น เป็นกรณีที่บุคคลหนึ่งตกลงว่า ในอนาคต ตนจะทำสัญญาให้ทรัพย์สินแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยเสน่หา และบุคคลหลังตกลงว่าจะรับทรัพย์สินนั้น เพราะฉะนั้น คำมั่นว่าจะให้กับสัญญาว่าจะให้จึงต่างกันตรงที่คำมั่นเป็นความผูกพันฝ่ายเดียว คือ ผูกพันผู้ให้คำมั่นแต่ฝ่ายเดียว ขณะที่สัญญาว่าจะให้เป็นความผูกพันหลายฝ่าย คือ ผูกพันผู้จะให้และผู้จะรับ[25]
โดยสภาพแล้ว ทั้งคำมั่นว่าจะให้ และสัญญาว่าจะให้ จึงส่งผลให้ผู้เกี่ยวข้องต้องมาทำสัญญาให้ เสมือนว่า สัญญาให้นั้นเกิดจากหน้าที่ มิใช่ความเสน่หาอีกต่อไป ย่อมขัดกับลักษณะของสัญญาให้ และความจริงแล้วจึงทำไม่ได้[25] แต่เนื่องจาก ป.พ.พ. ม. 526 รับรองให้ทำได้ ก็เป็นอันว่า ทำคำมั่นว่าจะให้หรือสัญญาว่าจะให้ได้ แต่มีเงื่อนไขว่า ถ้าคำมั่นหรือสัญญานั้นทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แล้วผู้ให้ไม่ปฏิบัติตาม ผู้รับมีสิทธิเรียกให้ผู้ให้ส่งมอบทรัพย์สินแก่ตน หรือเรียกให้ผู้ให้ใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ตนแทนได้ แต่ไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน เพราะค่าสินไหมทดแทนมีไว้ทดแทนความเสียหาย แต่ผู้รับไม่มีอะไรต้องเสียหายในการนี้เลย[26]
ผลของสัญญา
[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]ผลทางทรัพย์สิน
[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]สัญญาให้นั้น เมื่อเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะโอนจากผู้ให้ไปยังผู้รับทันที[27] เช่น การให้ที่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ได้อธิบายมาแล้วว่า จะสมบูรณ์เมื่อจดทะเบียน เพราะฉะนั้น เมื่อจดทะเบียนแล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินย่อมโอนไปสู่ผู้รับทันที แม้ยังมิได้ส่งมอบทรัพย์สินให้กันก็ตาม ในกรณีนี้ ถ้าจดทะเบียนแล้ว ต่อมา ผู้ให้ไม่ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้รับ ผู้รับชอบจะฟ้องคดีบังคับให้ผู้ให้ส่งมอบทรัพย์สินได้ โดยเป็นการที่ผู้รับ ซึ่งที่เป็นเจ้าของทรัพย์สิน เพราะได้กรรมสิทธิ์แล้ว ใช้อำนาจแห่งกรรมสิทธิ์นั้นติดตามเอาทรัพย์สินคืน มิได้หมายความว่า สัญญาให้ก่อหน้าที่ให้ผู้ให้ต้องส่งมอบทรัพย์สินแต่ประการใด[28]
ผลอีกประการของสัญญาให้ คือ เพิกถอนการให้มิได้ กล่าวคือ ให้แล้วให้เลย เรียกทรัพย์สินคืนมิได้ ยกเว้นกรณีที่กฎหมายกำหนด คือ กรณีถอนคืนซึ่งการให้ และกรณีเรียกทรัพย์สินคืน[28]
ผลทางหนี้
[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]สัญญาให้นั้นไม่ก่อหนี้ (obligation) ใด ๆ ทั้งสิ้น คู่สัญญาไม่มีหนี้ต้องชำระเลย กล่าวคือ ผู้ให้ไม่มีหน้าที่ต้องให้ทรัพย์สิน และผู้รับไม่มีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดตอบแทนผู้ให้[29]
อนึ่ง ผู้ให้ยังไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องของทรัพย์สิน หรือในการที่ผู้รับถูกรอนสิทธิด้วย เพราะผู้ให้อุตส่าห์ยกทรัพย์สินให้เปล่า ๆ อยู่แล้ว ครั้นทรัพย์สินนั้นเกิดมีปัญหาขึ้นมา จะให้เขาชดใช้อีก ก็ดูไม่สมควร ทั้งนี้ เว้นแต่กรณีที่ทรัพย์สินซึ่งให้นั้นมีค่าภาระติดพัน[30]
ฎ. บางฉบับเกี่ยวกับการให้
[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]# | เลขที่ | ใจความ | หมายเหตุ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
คู่สัญญา | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1 | 38/2537 | การยกอสังหาริมทรัพย์ให้โดยเสน่หา อันจะตกอยู่ในบังคับแห่ง ป.พ.พ. ม. 525 คือ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ต้องปรากฏว่ามีคู่สัญญาสองฝ่าย คือ ผู้ให้ กับผู้รับ ตามนัยแห่ง ป.พ.พ. ม. 521
แต่ตามบันทึกข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างโจทก์กับจำเลยแล้ว โจทก์กับจำเลยยอมให้ที่ดินจำนวนสองแปลง และบ้านอีกหนึ่งหลัง ตกเป็นของบุตรผู้เยาว์ทั้งสองคนหลังจากโจทก์และจำเลยจดทะเบียนหย่ากัน สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยาตาม ป.พ.พ. ม. 1532 และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตาม ป.พ.พ. ม. 374 มิใช่สัญญาให้ จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของมาตรา 525 แม้ไม่จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2 | 480/2539 | มูลนิธิจะเป็นนิติบุคคลได้ต่อเมื่อจดทะเบียนนิติบุคคลแล้ว ขณะรับการให้ มูลนิธิยังไม่เป็นนิติบุคคล ย่อมถือว่า ผู้ให้สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม นิติกรรมการให้จึงเป็นโมฆะไปตาม ป.พ.พ. ม. 156 และจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานสามารถเพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมการให้นั้นได้ โดยที่ผู้ให้ไม่จำต้องฟ้องร้องขอให้เพิกถอนเสียก่อน | มีแต่บุคคลเท่านั้นที่จะเป็นคู่สัญญาได้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล แต่มูลนิธิในคดีนี้ยังไม่มีสภาพบุคคล ณ เวลาที่รับการให้
เมื่อผู้ให้ให้ทรัพย์สินแก่มูลนิธิโดยเข้าใจว่ามูลนิธิเป็นบุคคลแล้ว จึงถือว่า ผู้ให้สำคัญผิดในตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณี อันเป็นความสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตาม ป.พ.พ. ม. 156 และเป็นเหตุให้นิติกรรมเป็นโมฆะ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เจตนาและวัตถุประสงค์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1 | 936/2522 | เมื่อโจทก์มิได้ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยโดยเสน่หา แต่เป็นการยกที่ให้เพื่อตอบแทนจำเลยที่ออกเงินชำระหนี้แทนโจทก์ โจทก์ฟ้องขอถอนคืนซึ่งการให้เพราะเหตุเนรคุณไม่ได้ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2 | 4056/2533 | โจทก์ฟ้องเรียกชำระหนี้จากจำเลย ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีและสั่งให้บังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินของจำเลย จำเลยจึงจดทะเบียนยกที่ดินนั้นให้แก่ผู้ร้องโดยเสน่หา ดังนี้ เป็นพฤติการณ์ที่จำเลยกับผู้ร้องสมคบกันเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ที่ดินพิพาทถูกยึดใช้หนี้โจทก์ การให้ที่ดินแก่กันระหว่างจำเลยกับผู้ร้องจึงเป็นการแสดงเจตนาลวง และตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. ม. 118 (ม. 155 ปัจจุบัน) | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
แบบ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1 | 227/2532 | จำเลยทำสัญญายกที่ดินมีโฉนดให้โจทก์ และรับรองว่า จะแบ่งแยกให้ในภายหน้า หากไม่แบ่งให้ตามสัญญา ยอมให้โจทก์ฟ้องบังคับตามสัญญา ข้อสัญญาดังกล่าวแสดงว่า จำเลยประสงค์จะยกที่ดินให้โจทก์โดยเสน่หา หาใช่เป็นกรณีสละการครอบครองไม่ เมื่อการให้รายนี้ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นิติกรรมให้ก็ย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย
การที่โจทก์เข้าครอบครองที่พิพาท จึงเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของจำเลย อันเป็นการยึดถือที่พิพาทไว้แทนจำเลย มิใช่ยึดถือในฐานะเป็นเจ้าของ ดังนั้น แม้โจทก์ครอบครองที่พิพาทติดต่อกันเป็นเวลาเกินสิบปี โจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2 | 371/2532 | ผู้ตายซึ่งมีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ได้ยกที่ดินดังกล่าวให้ผู้ร้องและได้ส่งมอบการครอบครองให้ผู้ร้องแล้ว ย่อมเป็นการยกให้ที่สมบูรณ์ตาม ป.พ.พ. ม. 1378 ผู้ร้องย่อมได้
ไปซึ่งสิทธิครอบครอง โดยมิพักต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3 | 812/2533 | โจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายชวน กฤษณวรรณ กับนางเชื้อ กฤษณวรรณ นายชวนมีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอีกคน คือ นางละมัย กฤษณวรรณ
บ้านพิพาทเป็นสินสมรสของนายชวนกับนางละมัย นายชวนยกกรรมสิทธิ์ในบ้านเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ จึงถือได้ว่า นายชวนกับนางละมัยแบ่งบ้านนั้นออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นของนายชวน อีกส่วนเป็นของนางละมัย เป็นเหตุให้บ้านหมดสภาพความเป็นสินสมรสไป ต่อมา นางละมัยไปขอจดทะเบียนยกกรรมสิทธิ์ในส่วนของตนให้แก่โจทก์ แต่ยังไม่มีการจดทะเบียน การให้ในส่วนของนางละมัยจึงไม่สมบูรณ์ กรรมสิทธิ์ในส่วนนี้ยังเป็นของนางอยู่ ครั้นนางละมัยตายลง กรรมสิทธิ์ดังกล่าวย่อมตกทอดแก่ทายาทของนาง |
ก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2478 (ก่อน ป.พ.พ. บรรพ 5 เริ่มใช้บังคับ) ชายมีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายได้หลายคน | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4 | 20/2534 | มารดาโจทก์ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ด้วยวาจา ไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การให้ดังกล่าวจึงไม่สมบูรณ์ตาม ป.พ.พ. ม. 525 ประกอบ ม. 456 โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทยังเป็นของมารดาโจทก์ และโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกที่ดินพิพาทจากจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของมารดาโจทก์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5 | 663/2538 | นายทองคำประสงค์จะให้ที่ดินตามฟ้องแก่โจทก์โดยเสน่หา จึงต้องบังคับตาม ป.พ.พ. ม. 525 และประมวลกฎหมายที่ดิน ม. 4 ทวิ กล่าวคือ นายทองคำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การให้จึงจะสมบูรณ์ แต่นายทองคำถึงแก่ความตายเสียก่อนจะได้จดทะเบียน การให้รายนี้จึงยังไม่สมบูรณ์ตามบทกฎหมาย โจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมและผู้จัดการมรดกของนายทองคำไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์หาได้ไม่ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6 | 8530/2544 | โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาให้เครื่องวิทยุคมนาคมพร้อมด้วยอุปกรณ์แก่โจทก์โดยเสน่หา แล้วทำสัญญาเช่าเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์ดังกล่าวจากโจทก์เป็นเวลาหนึ่งปีไปพร้อมกัน แต่จำเลยเช่าได้หนึ่งเดือนแล้วไม่ชำระค่าเช่าอีก โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเช่าและค่าเสียหายแก่โจทก์ กับทั้งคืนเครื่องวิทยุคมนาคมกับอุปกรณ์แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ยังไม่เป็นเจ้าของเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์ ทั้งไม่ได้รับความเสียหาย เพราะยังไม่มีการส่งมอบหรือรับมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น ขอให้ยกฟ้อง ปัญหาที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยมีว่า สัญญาให้เครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์ข้างต้นสมบูรณ์หรือไม่ เห็นว่า ตาม ป.พ.พ. ม. 523 การให้สมบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ หนังสือสัญญาให้ระหว่างจำเลยกับโจทก์ระบุว่า จำเลยตกลงโอนกรรมสิทธิ์ในเครื่องวิทยุคมนาคมตามบัญชีต่อท้ายสัญญานี้ให้แก่โจทก์นับแต่วันทำสัญญา และโจทก์ได้รับมอบเครื่องวิทยุคมนาคมพร้อมอุปกรณ์ดังกล่าวแล้ว แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันทำสัญญาให้นั้น จำเลยไม่ได้ส่งมอบเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์ให้แก่โจทก์แต่ประการใด ฉะนั้น สัญญาย่อมไม่สมบูรณ์ โจทก์ยังไม่เป็นเจ้าของเครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์ ทั้งยังไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ ด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าและค่าเสียหายจากจำเลย ตลอดจนไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยคืนเครื่องวิทยุคมนาคมพร้อมอุปกรณ์แก่โจทก์ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7 | 8706/2547 | ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์และสามีเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท โจทก์ยินยอมยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย โดยทำบันทึกว่าจะโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยไว้ตามเอกสารหมาย ล. 1 และ ล. 2 แต่ยังมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่ประการใด
ศาลฎีกาเห็นว่า การให้ที่ดินนั้นต้องเป็นไปตาม ป.พ.พ. ม. 525 คือ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อปรากฏว่า ยังไม่ได้ทำเช่นนั้น การให้รายนี้ย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8 | 4377/2549 | ยกทางพิพาทให้แก่สาธารณะ สมบูรณ์ทันทีที่แสดงเจตนา ไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. ม. 525 อีก | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สัญญาให้บางประเภท | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1 | 586/2538 | การให้หรือคำมั่นว่าจะให้ที่ดิน จะต้องได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงบังคับกันได้ตาม ป.พ.พ. ม. 526
บันทึกข้อตกลงระหว่าง ป. กับจำเลย ที่ระบุว่า จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทยินยอมยกที่ดินดังกล่าวส่วนหนึ่งให้โจทก์ แต่มิได้จดทะเบียน จึงไม่มีผลผูกพันจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาที่พิพาทโดยอาศัยบันทึกดังกล่าวได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เชิงอรรถ
[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]อ้างอิง
[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]- ↑ ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 377.
- ↑ ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 364.
- ↑ ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 364-365.
- ↑ อักขราทร จุฬารัตน, 2542: 239.
- ↑ ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 365.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 366.
- ↑ 7.0 7.1 7.2 ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 367.
- ↑ ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 368.
- ↑ 9.0 9.1 ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 369.
- ↑ 10.0 10.1 ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 370.
- ↑ ปรีชา สุมาวงศ์, 2532: 710.
- ↑ ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 370-371.
- ↑ ปรีชา สุมาวงศ์, 2532: 727.
- ↑ 14.0 14.1 ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 371.
- ↑ ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 372.
- ↑ ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 372-373.
- ↑ มานิตย์ จุมปา, 2551: 328.
- ↑ 18.0 18.1 ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 373.
- ↑ มานิตย์ จุมปา, 2551: 332.
- ↑ ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 381.
- ↑ ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 373-374.
- ↑ ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 374-375.
- ↑ 23.0 23.1 ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 375.
- ↑ ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 376.
- ↑ 25.0 25.1 ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 378.
- ↑ ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 377-378.
- ↑ ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 383.
- ↑ 28.0 28.1 ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 384.
- ↑ ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 384-385.
- ↑ ศนันท์กรณ์ โสตถิพันธุ์; 2552: 385.
หมายเหตุ
[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]ก ราชบัณฑิตยสถาน; 2551.02.07: ออนไลน์.
"ให้โดยเสน่หา (กฎ) ก. โอนทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งโดยไม่มีค่าตอบแทน."
ข Dictionary.com, 2011: Online.
"Law. given without receiving any return value."
ฃ เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศส ม. 893 ว่า
"La libéralité est l'acte par lequel une personne dispose à titre gratuit de tout ou partie de ses biens ou de ses droits au profit d'une autre personne."
ขึ้น | บทที่ 2 การถอนคืนซึ่งการให้ → |
|